ระยะก่อนน้ำมันหมดถัง
รถมินิแวนคันเก่าของผมมีหน้าจอที่แสดงอักษรย่อ DTE (Distance’Til Empty) ซึ่งแสดงระยะทางที่แม่นยำที่รถจะวิ่งได้ก่อนน้ำมันจะหมด รถรุ่นใหม่ๆส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีลักษณะเฉพาะนี้ซึ่งมีประโยชน์มาก เพราะการรู้ว่าสามารถขับได้ไกลแค่ไหนก่อนจะต้องเติมน้ำมันเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยไม่ให้รถจอดตายไปไหนไม่ได้!
คุณรู้หรือไม่ว่าพระบัญญัติสิบประการมีตัวแสดงผลแบบโบราณที่คล้ายกับ DTE เรียกว่าวันสะบาโต ในพระธรรมอพยพ 20 พระเจ้าบอกเราว่าหลังจากหกวัน เราจะใช้พลังงานที่เปรียบเสมือนน้ำมันจนหมด “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ” (ข้อ 8-10)
เราอาจถูกล่อลวงให้ละเลยพระบัญญัติข้อนี้ จะว่าไปแล้วข้อห้ามเรื่องการโกหก การลักขโมย การฆ่าคน การล่วงประเวณี การโลภ และการบูชารูปเคารพ (ข้อ 1-17) นั้นเห็นได้ชัดเจน แต่การพักผ่อนหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์มีความสำคัญขนาดนั้นจริงหรือ
เราอาจคิดว่าเราสามารถ “โกง” ข้อนี้ได้ แต่ของขวัญที่วันสะบาโตมอบให้คือการเชิญชวนให้เราพักผ่อน หยุดทำงาน และระลึกว่าเรามีสิ่งต่างๆจากการจัดเตรียมจากพระเจ้า ไม่ใช่จากการทำงานตลอดเวลาของเรา
ระยะก่อนเติมน้ำมันคือระยะเท่าไร คำตอบคือหกวัน และวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงเชิญชวนเราด้วยความเมตตาให้เราพักผ่อน ชาร์จพลัง และละทิ้งความคิดที่ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา
ขุดหาความหมาย
เรามีลูกสุนัขตัวใหม่ชื่อวินสตัน มันชอบกัด นอน แล้วก็กิน (และทำอย่างอื่นอีกหนึ่งหรือสองอย่าง) อ้อ มันชอบขุดด้วย วินสตันไม่ได้แค่ขุดดินแบบเล่นๆ แต่มันขุดจนเป็นอุโมงค์เหมือนมันกำลังจะหนีออกจากคุก มันควบคุมตัวเองไม่ได้ ดุร้าย และสกปรก
เมื่อไม่นานมานี้ผมเริ่มสงสัยว่า ทำไมสุนัขตัวนี้ถึงชอบขุดมากมายขนาดนั้น แล้วผมก็นึกได้ว่าผมก็เป็นนักขุดเช่นกัน ผมมีแนวโน้มที่จะ “ขุด” สิ่งต่างๆ มากมายที่ผมหวังว่าจะทำให้ผมมีความสุข มันอาจจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป การที่ผมหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความพึงพอใจในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าทำให้ผมกลายเป็นนักขุด การขุดค้นหาความหมายในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าทำให้ตัวผมเลอะเทอะไปด้วยฝุ่นและปรารถนาสิ่งที่มากกว่านั้น
เยเรมีย์ตำหนิอิสราเอลที่เป็นนักขุด โดยพระเจ้าตรัสผ่านท่านว่า “เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย...แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้” (ยรม.2:13) พระเจ้าทรงตีสอนประชากรของพระองค์ที่ไม่สนใจจะแสวงหาพระองค์ พวกเขาขุดบ่อน้ำของตัวเองเพื่อดับความกระหายที่ลึกที่สุด แต่พระเจ้าเตือนพวกเขาว่าพระองค์เท่านั้นที่เป็น “แหล่งน้ำเป็น” (ข้อ 13) ในยอห์นบทที่ 4 พระเยซูทรงมอบน้ำธำรงชีวิตนี้ให้กับผู้หญิงที่บ่อน้ำ ซึ่งเธอก็ได้ไปขุดหาน้ำจากแหล่งอื่นมาก่อนหน้านี้แล้ว (ข้อ 10-26)
เราทุกคนล้วนเป็นนักขุดในบางครั้ง แต่ด้วยพระทัยกรุณาของพระเจ้า พระองค์ประสงค์จะแทนที่การขุดที่ไร้ผลของเรา โดยการเติมเต็มเราด้วยน้ำของพระองค์ ซึ่งเป็นแหล่งเดียวที่จะดับความกระหายที่ลึกที่สุดในจิตวิญญาณของเราได้
และพระเจ้าทรงส่ง...ผีเสื้อกลางคืน?
“อ๊ากกกกก!” ลูกสาวของผมกรีดร้อง “พ่ออออออคะ! ขึ้นมานี่เร็ว!”ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันคือผีเสื้อกลางคืน ทุกฤดูใบไม้ผลิ ฝูงแมลงจำนวนมากราวกับฝุ่นจะอพยพจากที่ราบเนแบรสกาไปยังเทือกเขาโคโลราโด และอยู่ที่นั่นในฤดูร้อน เราต้องเตรียมรับมือกับการมาของพวกมันทุกปี และปีนี้ก็เลวร้ายเป็นพิเศษ
สำหรับมนุษย์แล้ว ผีเสื้อกลางคืนถือเป็นศัตรูพืชที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมักจะบินมาชนหน้าคุณ แต่สำหรับนกมันคืองานเลี้ยง เมื่อลองค้นคว้าข้อมูลดู ผมก็พบว่าผีเสื้อกลางคืนให้สารอาหารชั้นเยี่ยมแก่นกนางแอ่นในภูมิภาคนี้ แม้จะน่ารำคาญเพียงไร แต่ผีเสื้อกลางคืนเหล่านี้ก็เปรียบเสมือน “มานา” สำหรับพวกนก
ผมไม่รู้ว่าที่อิสราเอลในสมัยของพระเยซูมีการอพยพของผีเสื้อกลางคืนหรือไม่ แต่พระคริสต์ตรัสถึงการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูนกที่นั่นในคำเทศนาบนภูเขา “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ” (มธ.6:26)
ฉะนั้นในทุกวันนี้ผมจึงมองผีเสื้อกลางคืนต่างไปจากเดิม คือไม่ใช่ศัตรูพืชที่สกปรก แต่เป็นเครื่องเตือนใจที่มีปีกให้นึกถึงการเลี้ยงดูของพระเจ้าต่อสิ่งทรงสร้างของพระองค์ และเป็นเครื่องหมายที่มีชีวิตซึ่งแสดงถึงการเลี้ยงดูของพระองค์ที่มีต่อผมด้วย ถ้าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูนกนางแอ่นอย่างอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ พระองค์จะทรงดูแลคุณและผมมากยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด
สงบนิ่งต่อพระพักตร์พระเจ้า
ผมชอบแนวคิดของความนิ่ง ความเงียบ และการเข้าลี้ภัยในการดูแลของพระเจ้า (สดด.46:1) ข้อความในพระคัมภีร์ที่ถูกยกมาบ่อยๆจากสดุดีบทที่ 46 สอนเราว่า การนิ่งเงียบในหัวใจ ในความคิดและในจิตวิญญาณของเราเป็นสิ่งสำคัญในการรู้จักพระเจ้า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” (ข้อ 10)
แต่การสงบนิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และในบางครั้งการนิ่งเงียบก็ดูเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะการพยายามสงบใจต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะเหตุใดกัน
หนึ่งในกฎพื้นฐานของฟิสิกส์บอกเราว่า “วัตถุที่เคลื่อนที่ จะยังคงเคลื่อนที่ต่อไป” ดังนั้นการเปลี่ยนจากการเคลื่อนไหว การทำกิจกรรม และภาระหน้าที่ที่เราทำมาตลอดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยการปล่อยให้แรงเหวี่ยงของกิจกรรมเหล่านั้นหยุดนิ่งลง คุณลองนึกถึงคลื่นที่เกิดจากเรือ แม้ในขณะที่เรือพยายามหยุดนิ่ง แต่แรงการเคลื่อนที่ของคลื่น ซึ่งเกิดขึ้นจากเรือที่ตอนนี้ตามมากระทบเรือที่หยุดนิ่งนั้นยังเคลื่อนที่อยู่ จึงผลักให้เรือเคลื่อนที่ไปด้วย
ถ้าคุณตระหนักถึงคุณค่าของการสงบนิ่งแต่ยังไม่สามารถทำได้ นี่คือหนึ่งในสาเหตุ กิจกรรมและการเคลื่อนไหวของเราก็เป็นเหมือน “วัตถุที่เคลื่อนที่” ดังนั้นจงให้เวลาและความเมตตาต่อตัวเองให้มากเมื่อนั่งอยู่ต่อพระเจ้าและพักสงบในพระองค์ อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่คลื่นแห่งจิตวิญญาณซึ่งมี “แรงเคลื่อนที่” จะไหลผ่านไป เพื่อจะเข้าสู่การสงบนิ่งต่อพระพักตร์พระองค์
พระเยซูคริสต์สำคัญที่สุด
ผมและภรรยาชอบภาพยนตร์แนวโรแมนติกหวานแหววที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกดีๆ ผมอาจพูดได้ว่ามันเป็นความชอบของภรรยา แต่ผมก็ชอบด้วยเช่นกัน เสน่ห์และความน่าสนใจของหนังประเภทนี้อยู่ที่การเดินเรื่องที่คาดเดาได้ว่าจะนำไปสู่ความสุขชั่วนิรันดร์ เมื่อเร็วๆนี้เราได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่นำเสนอเกี่ยวกับความรักที่ชวนให้สงสัย หนังบอกว่า ความรักคือความรู้สึก จากนั้นบอกว่า จงทำตามหัวใจคุณ สุดท้ายก็บอกว่า ความสุขของคุณสำคัญที่สุด แน่นอนว่าอารมณ์ของคนเรามีความสำคัญ แต่การใช้อารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่คือรากฐานที่แย่สำหรับการมีชีวิตสมรสที่ยั่งยืน
วัฒนธรรมกระแสหลักนำเสนอแนวคิดมากมายที่ฟังดูดีในตอนแรกแต่พังไม่เป็นท่าเมื่อผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ และการพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นสิ่งที่เปาโลคิดถึงขณะเขียนโคโลสีบทที่ 2 ในบทนั้นท่านเน้นเอาไว้ว่า การ “หยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ” (ข้อ 7) ช่วยทำให้เราสามารถแยกแยะคำโกหกในวัฒนธรรมของเราได้ อัครทูตเปาโลเรียกคำโกหกเช่นนั้นว่า “หลักปรัชญา และ...คำล่อลวงอันเหลวไหล” ซึ่งสร้างขึ้น “ตามตำนานของมนุษย์ ตามวิญญาณต่างๆแห่งสากลจักรวาล ไม่ใช่ตามพระคริสต์” (ข้อ 8)
ดังนั้นครั้งหน้าที่คุณชมภาพยนตร์ ให้ถามตัวเองหรือคนที่คุณอยู่ด้วยว่า “หนังเรื่องนี้ให้คำแนะนำที่ฉลาดหรือไม่ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความจริงตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้แล้วเป็นเช่นไร” และจงจำไว้ว่าพระเยซูคริสต์สำคัญที่สุด เพราะในพระองค์เท่านั้นที่เราจะได้พบกับปัญญาและความบริบูรณ์อย่างแท้จริง (ข้อ 9-10)
ตัวแทนแห่งสันติสุข
ในปี 2015 กลุ่มผู้รับใช้ท้องถิ่นของเมืองโคโลราโดสปริงส์ รัฐโคโลราโดได้รวมตัวกันเพื่อรับใช้ชุมชน และกลุ่มซีโอเอสไอเลิฟยู (COSILoveYou) ได้ถือกำเนิดขึ้น ในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีพวกเขาจะส่งผู้เชื่อออกไปรับใช้ชุมชนในกิจกรรมที่เรียกว่า ซิตี้เซิร์ฟ (CityServe)
เมื่อหลายปีก่อน ผมและลูกๆได้รับมอบหมายให้ไปที่โรงเรียนประถมในตัวเมืองภายใต้กิจกรรมซิตี้เซิร์ฟ พวกเราทำความสะอาด ถอนวัชพืช และทำโครงงานศิลปะโดยสอดเทปพลาสติกสีต่างๆ ไปตามรั้วตาข่ายในลักษณะที่เหมือนกับภูเขา เรียบง่ายแต่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ
ทุกครั้งที่ผมขับรถผ่านโรงเรียนแห่งนั้น โครงงานศิลปะเล็กๆของเราเตือนให้ผมนึกถึงเยเรมีย์ 29 ในเวลานั้นพระเจ้าทรงสั่งให้คนของพระองค์ตั้งถิ่นฐานและรับใช้ในเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ พระองค์บัญชาเช่นนั้นถึงแม้พวกเขาจะเป็นเชลยและไม่ได้ต้องการจะอยู่ที่นั่น
ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “จงบากบั่นเพื่อสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองของนครซึ่งเราให้เจ้าไปตกเป็นเชลยนั้น จงอธิษฐาน...เพื่อนครนั้น เพราะหากมันเจริญ เจ้าก็เจริญด้วย” (ข้อ 7 TNCV) คำว่า สันติสุขในที่นี้มาจากคำภาษาฮีบรูว่า ชาโลม มีความหมายครอบคลุมถึงความสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งมีเพียงความประเสริฐและการทรงไถ่ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดขึ้นได้
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้เป็นตัวแทนแห่งสันติสุข(ชาโลม)ของพระองค์ในที่ที่เราอยู่ พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราให้สร้างความงดงามและสำแดงถึงชีวิตที่ได้รับการไถ่ ด้วยวิธีที่เรียบง่ายและเป็นรูปธรรมในสถานที่ที่พระองค์ทรงจัดให้เราอยู่
จงพุ่งทะยานสูงขึ้น!
บางครั้งข้อความฝ่ายวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในที่ซึ่งเราไม่คาดคิด อย่างเช่นในหนังสือการ์ตูน สแตน ลีผู้จัดพิมพ์หนังสือการ์ตูนมาร์เวลเสียชีวิตในปี 2018 ทิ้งมรดกไว้เบื้องหลังเป็นเหล่าฮีโร่ที่มีเอกลักษณ์ เช่น สไปเดอร์แมน ไอรอนแมน สี่พลังคนกายสิทธิ์ ฮัลค์ยักษ์เขียวจอมพลัง และอื่นๆอีกมากมาย
ชายผู้โด่งดังที่ยิ้มแย้มและสวมแว่นกันแดดนี้มีวลีติดปากที่เขาใช้ลงท้ายคอลัมน์ในการ์ตูนมาร์เวลฉบับรายเดือนมากว่าทศวรรษ คือคำว่า จงพุ่งทะยานสูงขึ้น ในข้อความที่ลีทวีตในปี 2010 เขาอธิบายความหมายไว้ว่าคือ “การก้าวสูงขึ้นและมุ่งหน้าไปสู่ความรุ่งเรืองยิ่งขึ้น” นี่คือสิ่งที่ผมปรารถนาต่อทุกคนเมื่อผมทวีตข้อความ! จงพุ่งทะยานสูงขึ้น!
ผมชอบคำพูดนั้น ไม่ว่าสแตน ลีจะรู้หรือไม่ก็ตามแต่การใช้คำพูดที่พิเศษนี้สอดคล้องกับสิ่งที่เปาโลเขียนถึงชาวฟีลิปปี เมื่อท่านเตือนสติให้ผู้เชื่อเลิกมองอดีตแต่ให้มองไปเบื้องหน้าและเบื้องบน “แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า และข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลคือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” (3:13-14 THSV11)
เรามักติดอยู่กับความเสียใจและความสงสัยถึงการตัดสินใจในอดีต แต่ในพระคริสต์นั้น พระองค์เชื้อเชิญให้เรามอบวางความเสียใจโดยมุ่งมองไปข้างหน้าและบากบั่นไปสู่พระสิริอันรุ่งเรืองยิ่งกว่าของพระเจ้า ด้วยการตอบรับการอภัยโทษของพระองค์และเป้าประสงค์ที่พระองค์ทรงประทานให้กับเราด้วยพระเมตตา! จงพุ่งทะยานสูงขึ้น!
ผมเป็นแค่คนขับรถ
“พ่อคะ หนูขอค้างคืนกับเพื่อนได้ไหมคะ” ลูกสาวถามผมตอนที่ก้าวขึ้นรถหลังการฝึกซ้อม “ลูกรัก หนูรู้คำตอบอยู่แล้ว” ผมพูด “พ่อเป็นแค่คนขับรถ พ่อไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไปคุยกับแม่กันเถอะ”
“พ่อเป็นแค่คนขับรถ” กลายเป็นเรื่องตลกในบ้านเรา ทุกวันผมจะถามภรรยาที่เป็นคนจัดการว่าผมต้องอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ และจะพาใครไปที่ไหน เมื่อมีลูกวัยรุ่นถึงสามคน “งานพิเศษ” ของผมในการเป็น “คนขับรถ” นั้นบางครั้งก็ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นอาชีพเสริมนอกเวลางาน ผมมักจะไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้หรือไม่รู้อะไรบ้าง ดังนั้นผมจึงต้องคอยตรวจเช็คกับผู้ควบคุมตารางงานประจำวัน
ในมัทธิวบทที่ 8 พระเยซูพบชายคนหนึ่งที่รู้บางอย่างเกี่ยวกับการมอบและการรับคำสั่ง นายร้อยชาวโรมันคนนี้รู้ดีว่าพระเยซูมีสิทธิอำนาจในการรักษา เหมือนที่นายร้อยมีอำนาจออกคำสั่งแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา “ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น บ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค ข้าพระองค์รู้ดี เพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์” (ข้อ 8-9) พระคริสต์ทรงชมเชยความเชื่อของชายคนนี้ (ข้อ 10, 13) และทรงประหลาดใจที่เขาเข้าใจว่าพระองค์จะทรงใช้สิทธิอำนาจอย่างไรในทางปฏิบัติ
แล้วพวกเราล่ะ เราจะวางใจในพระเยซูในงานประจำวันที่ได้รับมอบหมายจากพระองค์อย่างไร เพราะถึงแม้เราคิดว่าตัวเองเป็น “แค่คนขับรถ” แต่งานที่ทรงมอบหมายให้ทุกอย่างนั้นก็มีทั้งความหมายและจุดมุ่งหมายเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
พระเยซูทรงขจัดรอยเปื้อน
“นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า!” ผมตะโกนขณะค้นหาเสื้อเชิ้ตในเครื่องอบผ้า ผมเจอมัน และ...เจออย่างอื่นด้วย
เสื้อเชิ้ตสีขาวของผมมีรอยเปื้อนหมึกเป็นดวง อันที่จริงมันดูเหมือนลายเสือจากัวร์เพราะรอยหมึกเลอะเปื้อนทุกสิ่ง ชัดเจนว่าผมไม่ได้ตรวจดูกระเป๋าก่อน หมึกที่ซึมออกจากปากกาจึงเลอะผ้าทุกชิ้น
พระคัมภีร์มักจะใช้คำว่ารอยเปื้อนเพื่อบรรยายถึงความบาป รอยเปื้อนที่ซึมเข้าไปในเนื้อผ้าของสิ่งใดก็ตามทำลายของสิ่งนั้น และนี่คือวิธีที่พระเจ้าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เพื่ออธิบายถึงความบาป และเตือนประชากรของพระองค์ว่าพวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะชำระล้างรอยเปื้อนของบาปได้ “ถึงแม้ว่าเจ้าชำระตัวด้วยน้ำด่างและใช้สบู่มาก แต่รอยเปื้อนความผิดบาปของเจ้าก็ยังปรากฏอยู่ต่อเรา” (ยรม.2:22)
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ความบาปไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ ในอิสยาห์ 1:18 เราได้ยินพระสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์จะทรงชำระเราจากรอยเปื้อนของความบาป “ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ”
ผมไม่สามารถขจัดรอยหมึกออกจากเสื้อเชิ้ต เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถลบรอยเปื้อนแห่งความบาปของผมออกไปได้ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงชำระเราในพระคริสต์ เช่นที่ 1 ยอห์น 1:9 ยืนยันว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”