จงทูลเรา
พระเจ้าทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสื่อสารกับบรรดาลูกของพระองค์ ถ้อยคําที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเยเรมีย์นั้นมีมาถึงเรา ด้วยเช่นกัน “จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่” (เยเรมีย์ 33:3) สิ่งที่เราจําเป็นต้องทําคือเตรียมพร้อมที่จะฟังพระองค์ การฟังเสียงจากพระเจ้าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้เวลา แต่มีไว้สําหรับผู้ที่ปรารถนาเท่านั้น เราไม่จําเป็นต้องไปถึงความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณในระดับสูงระดับใดระดับหนึ่ง เราไม่จําเป็นต้องสู้ชีวิตจนสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างพร้อมสรรพเสียก่อน พระองค์ทรงพร้อม สําหรับเราอย่างที่เราเป็น
สิ่งสําคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เราต้องยอมให้ตนเองมีอิสระที่จะฟังพระองค์ด้วยความคาดหวัง ระหว่างที่พระเยซูทรงกระทําพันธกิจ พระองค์ทรงใช้เวลา
โดยลําพังกับพระบิดา และทรงบอกให้สาวกกระทําอย่างเดียวกัน (มาระโก 6:31,46) เราเองก็จําเป็นต้องมีที่สงบจากสิ่งที่ทําให้ไขว้เขว เมื่อเราอยู่ที่นั่นแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากําลังฟังอยู่นั้นมาจากพระเจ้าจริงๆ
ต่อไปนี้เป็นคําถามที่คุณสามารถใช้ถามตัวเองเพื่อพิจารณาว่าพระเจ้า
กําลังตรัสกับคุณหรือไม่
- สิ่งนั้นสอดคล้องกับพระวจนะหรือไม่
- สิ่งนั้นสอดคล้องกับพระลักษณะของพระเจ้าหรือไม่
- สิ่งนั้นนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือการเติบโตในชีวิตของคุณหรือไม่
- สิ่งนั้นนําไปสู่การคืนดีในความสัมพันธ์ใช่หรือไม่
- มีการได้รับการเยียวยาหรือไม่ คือการได้รับการปลดปล่อยจากความบาปหรือความเจ็บปวดในอดีต
- มีสันติสุขหรือไม่ คือความกังวลได้รับการบรรเทา
- มีความพึงพอใจจากที่ก่อนหน้านี้เคยดิ้นรนต่อสู้หรือไม่
- สิ่งนั้นนําไปสู่การสารภาพบาป แทนที่จะรู้สึกผิดใช่หรือไม่
มีข้อแตกต่างระหว่างการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงชี้ให้เราเห็นความผิดกับการที่มารตอกย้ำความผิดของเรา เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์กับมารพูดคนละภาษา ลักษณะการพูดที่ปรากฎ ควรจะช่วยให้เราแยกแยะได้ว่าใครเป็นผู้พูดกับเรา อย่างไรก็ดี เราอาจเข้าใจผิดว่าเสียงของมารเป็นเสียงของพระเจ้า เพราะเสียงของมารเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับการบิดเบือนและความเข้าใจผิดที่เรามีในเรื่องพระเจ้า และในเรื่องที่ว่าพระองค์ทรงรู้สึกกับเราอย่างไร แต่พระเจ้าตรัสกับเราในวิถีทางที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการพิพากษาของมาร
คุณจะบอกความแตกต่างได้อย่างไร มารมักสื่อสารด้วยวิถีทางดังต่อไปนี้
- น้ําเสียง : กล่าวหา ดุด่า และเยาะเย้ย ก่อให้เกิดความกลัวและสร้างความสับสน
- ความไม่ชัดเจน : มีแต่จะสร้างความรู้สึกผิด ราวกับว่าทุกอย่างผิดพลาดไปหมด สร้างความรู้สึกสิ้นหวังและอ่อนแอ
- ทําให้ท้อใจ : โจมตีความมั่นใจในตัวเองของคุณ บอกคุณว่าคุณอ่อนแอและไร้ค่า
- รื้อฟื้นอดีต : ตอกย้ำความบาปและความอับอายของคุณ เตือนคุณว่าคุณตัดสินใจผิดพลาด
- การปฏิเสธ : สร้างความรู้สึกว่าพระเจ้าปฏิเสธคุณ เพราะคุณไร้ค่าและไม่บริสุทธิ์ สร้างภาพว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาและคุณเป็นคนบาปที่เลวร้าย
- การแยกจาก : แนะนําให้คุณแยกตัวออกจากผู้อื่น
- เป็นลบ : บอกคุณว่า ที่คุณรู้สึกแย่มากๆ นั้นเป็นเรื่องปกติ
การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงชี้ให้เราเห็นความผิดของตนเอง มีลักษณะที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
- น้ําเสียง : สุภาพ มีความรัก ร้องขอ ผลักดันให้กับมาหาพระองค์
- เฉพาะเจาะจง : บอกคุณให้ทําสิ่งที่เฉพาะเจาะจงเพื่อตอบสนอง ต่อความบาปที่ได้ทําลงไป และทําให้คุณมีอิสรภาพในที่สุด
- ให้กําลังใจ : บอกว่าคุณสามารถพึ่งพาฤทธิ์อํานาจของพระองค์ได้ ไม่ใช่พึ่งพากําลังของคุณเอง
- ปลดปล่อยคุณจากอดีต : บอกคุณว่าความบาปของคุณได้รับการอภัย และจะไม่กลับมากล่าวโทษคุณอีกต่อไป
- ผลลัพธ์ : สร้างความคาดหวังที่จะได้รับความเมตตา ความรัก และการเริ่มต้นใหม่ โดยมีพระองค์คอยช่วยเหลือ
- นําไปสู่การสามัคคีธรรม : นําพาให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือคุณด้วย ความรัก และนําพาคุณไปช่วยคนอื่นเช่นกัน กล่าวถึงพระลักษณะและความรักมั่นคงอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์
- สัตย์จริง : กล่าวความจริงเกี่ยวกับคุณและพระเจ้า
ขอให้ใช้ข้อต่างๆ ข้างต้นเป็นแนวทาง เพื่อคุณจะได้ยินพระเจ้าตอบคุณในยามที่คุณเทใจของคุณออกต่อพระองค์
พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ริเริ่ม ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบรรดาลูกของพระองค์ พระองค์ทรงชื่นชมคุณและทรงปรารถนาที่จะนําการคืนดีมาสู่ชีวิตของคุณในด้านที่เจ็บปวด พระองค์ทรงประทานพระองค์เองโดยเป็นเหมือนผู้ที่หนีภัยความกลัว และความกระวนกระวาย พระกําลังของพระองค์ค้ําจุนผู้ที่อ่อนแอ และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะร้องไห้กับผู้ที่ใจแตกสลาย พระองค์ทรงสถิตอยู่เพื่อคุณ ทุกเวลาที่คุณมาหาพระองค์
พระองค์กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ตามเรามา”