พระเจ้าในอดีตและปัจจุบัน
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เราจากเมืองโอเรกอนซึ่งเป็นเมืองที่เราได้สร้างครอบครัวขึ้น เรามีความทรงจำมากมายที่นั่น และการไปเยือนครั้งล่าสุดทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ผมลืมไปแล้ว นั่นคือการแข่งขันฟุตบอลหญิง บ้านเก่าของเรา การรวมตัวที่คริสตจักรและร้านอาหารเม็กซิกันของเพื่อนเรา เมืองเปลี่ยนไป แต่ยังมีผู้คนคุ้นเคยมากพอที่จะทำให้ผมอยากกลับไปเยือนอีก
เมื่อคนอิสราเอลตกเป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขาคิดถึงความคุ้นชินในเรื่องผู้คน สถานที่หลักๆ และวัฒนธรรม พวกเขาลืมไปว่าถูกเนรเทศเพราะกบฏต่อพระเจ้า เมื่อผู้เผยพระวจนะเท็จบอกพวกที่ถูกเนรเทศว่าจะได้กลับบ้านภายในสองปี (ยรม.28:2-4; 29:8-9) พวกเขาพบผู้ฟังที่เต็มใจจะเชื่อ เป็นเรื่องสบายใจที่จะฟังถ้อยคำเสนาะหูของผู้เผยพระวจนะเท็จที่สัญญาว่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้
พระเจ้าไม่ทรงกรุณาคนเหล่านั้นที่เร่ขายอดีตและคำสัญญาที่ไม่จริงของพวกตน พระองค์ตรัสว่า “อย่ายอมให้ผู้เผยพระวจนะของเจ้าทั้งหลาย หรือผู้ทำนายของเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางหลอกลวงเจ้า” (29:8) พระองค์ทรงมีแผนงานเพื่อประชากรของพระองค์ “เป็นแผนงาน...เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่ [พวกเขา]” (ข้อ 11) สถานการณ์นั้นท้าท้าย มีอุปสรรคและเป็นเรื่องใหม่ แต่พระเจ้าสถิตกับพวกเขา ตรัสว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (ข้อ 13) พระเจ้าจะทรงนำพวกเขา “กลับมายังที่ซึ่งเราเนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น” (ข้อ 14) แต่จะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์
ความอาลัยอาวรณ์เป็นกลอุบายในความคิด ทำให้เราโหยหาในอดีตที่เคยเป็น อย่าพลาดสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังทำอยู่ในเวลานี้ พระองค์จะทรงทำให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จ
เสียงร้องทุกข์
จีนานเด็กหญิงชาวซีเรียวัยห้าขวบติดอยู่ใต้กองเศษหินความสูงสองชั้นของตึกที่ถล่มลงมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เธอร้องเรียกหน่วยกู้ภัยขณะที่คอยปกป้องน้องชายตัวน้อยของเธอจากเศษหินที่อยู่รอบข้าง “ช่วยหนูออกไปที จะให้หนูทำอะไรก็ได้” เธอร้องด้วยใจที่แตกสลาย “หนูจะยอมเป็นคนรับใช้คุณ”
เราจะพบเสียงร้องทุกข์ในตลอดพระธรรมสดุดี “ข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระเจ้า จากที่คับแค้นใจของข้าพเจ้า” (118:5) แม้ว่าเราอาจจะไม่เคยรับรู้ถึงน้ำหนักของตึกที่ถล่มลงมาจากแผ่นดินไหว แต่เราทุกคนต่างก็รับรู้ได้ถึงความกลัวจนแทบหายใจไม่ออกจากคำวินิจฉัยทางการแพทย์ ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต หรือการสูญเสียความสัมพันธ์
ในช่วงเวลาเหล่านั้น เราอาจจะต่อรองกับพระเจ้าเพื่อขอการช่วยกู้จากพระองค์ แต่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาโน้มน้าว เพราะพระองค์ทรงสัญญาว่าจะตอบเรา และในขณะที่สถานการณ์ของเราอาจจะยังไม่ดีขึ้น พระองค์จะทรงสถิตกับเราและอยู่ฝ่ายเรา เราไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆแม้กระทั่งความตาย เราสามารถพูดเหมือนผู้เขียนสดุดีว่า “พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า เป็นผู้ทรงช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามองเห็นคนที่เกลียดข้าพเจ้าแพ้” (ข้อ 7)
เราไม่ได้รับคำสัญญาถึงการช่วยกู้ที่น่าทึ่งเช่นเดียวกับจีนานและน้องชาย แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ผู้ทรง “ประทานความโล่งใจ” (ข้อ 5) แก่ผู้เขียนสดุดี พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ของเราและพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเราแม้แต่ในความตาย
คำของ่ายๆ
“อย่าลืมทำความสะอาดห้องด้านหน้าก่อนเข้านอนนะลูก” ฉันพูดกับลูกสาวคนเล็ก เธอตอบกลับมาทันทีว่า “แล้วทำไมพี่ไม่ต้องทำล่ะคะ”
การต่อต้านเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเสมอในบ้านเมื่อลูกๆยังเล็กอยู่ ฉันก็จะตอบสนองเหมือนเดิมทุกครั้งคือ “ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่หรอก เพราะแม่ขอให้หนูทำ”
ในยอห์น 21 เราเห็นนิสัยแบบนี้ของมนุษย์ในท่ามกลางเหล่าสาวก พระเยซูเพิ่งจะนำเปโตรกลับคืนมา หลังจากที่ท่านปฏิเสธพระองค์ไปแล้วสามครั้ง (ดู ยน. 18:15-18, 25-27) ตอนนี้พระเยซูพูดกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด” (21:19) ซึ่งเป็นคำสั่งง่ายๆแต่เจ็บปวด แล้วพระเยซูอธิบายว่าเปโตรจะติดตามพระองค์ไปจนตัวเองต้องตาย (ข้อ 18-19)
เปโตรยังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจคำพูดของพระเยซูก่อนที่ท่านจะถามไปถึงสาวกที่อยู่ด้านหลังว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร” (ข้อ 21) พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า” แล้วบอกว่า “เจ้าจงตามเรามาเถิด” (ข้อ 22)
บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราก็เป็นเหมือนเปโตร! เราสงสัยถึงเส้นทางความเชื่อของผู้อื่น และไม่ได้สนใจว่าพระเจ้าทรงกำลังทำอะไรในชีวิตของเรา ในช่วงบั้นปลายชีวิตเมื่อความตายที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้าในยอห์น 21 ใกล้เข้ามา เปโตรอธิบายคำสั่งง่ายๆของพระคริสต์เพิ่มเติมว่า “โดยที่ท่านเป็นบุตรที่เชื่อฟัง ขออย่าได้ประพฤติตามกิเลส ตัณหา อย่างที่เกิดจากความโง่เขลาของท่านในกาลก่อน แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ” (1ปต.1:14-15) แค่นี้น่าจะเพียงพอแล้วที่ทำให้เราแต่ละคน มุ่งความสนใจของเราไปที่พระเยซู ไม่ใช่ที่คนรอบข้างเรา