10 เหตุผลที่เชื่อว่ามีพระเจ้า
1 สัจธรรมในเรื่องของความเชื่อ
มนุษย์ทุกคนต่างเชื่อในบางสิ่ง เพราะถ้าปราศจากความเชื่อแล้ว คนเราคงไม่อาจฟันฝ่าความผิดหวัง ความเศร้าโศก ความกลัว ความกังวลใจในชีวิตได้ เช่น บางคนเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมเชื่อในโชคลาง ไสยศาสตร์ หรือบางคนอาจเชื่อในพระเจ้า และแม้ว่าคุณจะไม่เชื่ออะไรเลยก็ตาม และเลือกที่จะเชื่อในตัวคุณเอง เราก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องความเชื่ออยู่นั่นเอง และบ่อยครั้งความเชื่อก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักการของเหตุและผล
2 ความจำกัดของวิทยาศาสตร์
วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีข้อจำกัดเพราะใช้อธิบายเฉพาะกระบวนการที่วัดได้และทำซ้ำได้เท่านั้น ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงไม่สามารถให้คำตอบหรือนิยามความหมายบางสิ่งได้ เช่น ศีลธรรม ความรัก ความบาป เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้น วิทยาศาสตร์จึงขึ้นอยู่กับค่านิยมและความเชื่อส่วนตัวของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นเอง ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงมีทั้งคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจถูกใช้ทำวัคซีนรักษาโรคหรือยาพิษฆ่าคน ผลิตพลังงานปรมาณูหรืออาวุธมหาประลัย และอาจถูกใช้เพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านความเชื่อเรื่องพระเจ้าได้ดังนั้นวิทยาศาสตร์เองไม่ได้ให้แนวทางหรือค่านิยมทางศีลธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตของเรา สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำได้ก็คือ แสดงให้เราเห็นว่ากฎธรรมชาติดำเนินไปอย่างไร แต่ไม่ได้บอกเราว่ากฎนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด
3 ปัญหาเรื่องวิวัฒนาการ
บางคนคิดว่า ถ้าเราสามารถใช้ทฤษฏีวิวัฒนาการมาอธิบายเรื่องกำเนิดชีวิตได้ ก็คงไม่จำเป็นต้องเชื่อว่า มีพระเจ้า และหวังว่าสักวันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์จะสามารถพบ “รอยต่อที่หายไป” ของทฤษฏีนี้และสามารถยืนยันได้ว่าชีวิตค่อยๆกำเนิดและพัฒนาขึ้นโดยใช้เวลาอันยาวนาน แต่อย่างไรก็ตาม คำตอบสุดท้ายของคำอธิบายนี้ก็ยังมีแนวโน้มว่า น่าจะมีพระเจ้าอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่เชื่อในทฤษฏีนี้จึงยอมรับว่า จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลและซับซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องมีใครสักคนหนึ่งที่ชาญฉลาดเป็นผู้จัดวางองค์ประกอบต่างๆของชีวิต และเป็นผู้เริ่มต้นกฎธรรมชาติเหล่านี้ขึ้น
4 ธรรมชาติของจิตใจ
มีผู้กล่าวว่าคนเราขาดศาสนาไม่ได้ เพราะว่าเมื่อชีวิตประสบปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ความกลัว หรือความกังวลใจ คนเรามักจะบนบานศาลกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้าเสมอ การปฏิเสธว่า “ไม่มีพระเจ้า” ไม่ได้ทำให้ความลึกลับของชีวิตหมดไป ความพยายามตัดพระเจ้าออกจากชีวิตไม่ได้ทำให้ความโหยหาความหมายของชีวิตหมดไป แม้เราจะไม่เต็มใจเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่จิตใจของคนก็ยังคงโหยหาและพึ่งพาอำนาจบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเราอยู่นั่นเอง
5 ที่มาของพระคัมภีร์
ในคืนที่พระเยซูทรงถูกจับ เหล่าสาวกต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว ผู้เขียนพระคัมภีร์ 40 คน มาจากทุกอาชีพ ทุกวัย มีทั้งกษัตริย์ นักปราชญ์ นักศาสนา ชาวประมง เกษตรกร คนเก็บภาษี ฯลฯ พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นในหลายทวีป เช่น เอเชีย ยุโรป อัฟริกา และใช้เวลากว่า 1,600 ปี ในการเขียนพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มนี้ เริ่มตั้งแต่หนังสือปฐมกาลจนถึงหนังสือวิวรณ์เล่มสุดท้าย ทุกเล่มต่างเล่าถึงสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า และต่างก็ให้คำตอบที่เหมือนกันในทุกๆคำถาม เช่นทำไมเราจึงเกิดมาในโลก? มนุษย์จะมีชีวิตที่มีความสุขและความหวังได้อย่างไร? ความบาป? เราจะคืนดีกับพระเจ้าพระผู้สร้างได้อย่างไร? เป็นต้น พระคัมภีร์ทุกตอนได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องพ้องกันแสดงให้เห็นว่าจะต้องมี พระเจ้าผู้ทรงดลใจคนเหล่านี้ ในการเขียนพระคัมภีร์ทุกเล่มขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน นอกจากนี้นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันยังได้ขุดพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับ บุคคลสถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ถูกกล่าวอ้าไว้ในพระคัมภีร์อยู่เสมอ
6 ชนชาติอิสราเอล
อิสราเอลหรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ยิว เป็นชนชาติที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ในฐานะชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เป็นชนชาติเก่าแก่ที่สุดของโลก ที่ยังสามารถดำรงความเป็นชนชาติ ยิว มาตลอดระยะเวลาหลายพันปี โดยไม่หายสาบสูญไปเหมือนชนชาติที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น ชาวอียิปต์โบราณ หรือ ชาวกรีกโบราณ เป็นต้น ถึงแม้จะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกกระจัดกระจายไปทั่วโลก ผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาหลายครั้ง และต้องจากแผ่นดินปาเลสไตน์นานนับสองพันปี แต่ชนชาติยิวก็ยังคงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตเหล่านั้นมาได้ และกลับมาก่อตั้งเป็นประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งนอกจากนี้ ยิว ยังถูกยอมรับว่า เป็นชนชาติที่ฉลาดมีไอคิวสูง เก่งในการค้า มีกองทหารที่มีความสามารถที่สุดในโลก เป็นนักเพาะปลูกที่สามารถพลิกทะเลทรายที่แห้งแล้งให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้เป็นพยานบ่งชี้ว่า มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คอยค้ำจุนชนชาตินี้มาโดยตลอด
7 ประสบการณ์ของผู้ค้นหาความจริง
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา มีคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนักปราชญ์ นักโบราณคดี และนักวิทยาศาสตร์ ต่างพากันสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือ? คนเหล่านี้ที่ไม่เชื่อต่างพยายามหาหลักฐานและเหตุผลมาพิสูจน์ว่า ความเชื่อเรื่องพระเจ้านั้นเป็นสิ่งเหลวไหล แต่ยิ่งพยายามค้นหาหลักฐานและเหตุผลมากเท่าไร เขาก็ยิ่งพบกับความจริงมากเท่านั้น ความจริงที่ไม่ว่าจะถูกพิสูจน์สักกี่ครั้ง หรือด้วยวิธีการใด ผลของความจริงย่อมออกมาตรงกันทุกครั้ง ดังนั้นจึงมีคนเป็นจำนวนมากได้เชื่อในพระเจ้าเพราะจำนนต่อหลักฐานที่เขาเป็นผู้ค้นพบเอง
8 หลักฐานของการอัศจรรย์
เรื่องราวต่างๆที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ล้วนน่าอัศจรรย์เริ่มตั้งแต่การสร้างโลก เรื่อยไปจนถึงการอัศจรรย์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของชนชาติยิวหลายพันปี แม้แต่ในสมัยพระเยซู บรรดาสาวกต่างเป็นพยานเสียงเดียวกันว่า พระเยซูทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติเช่น ห้ามพายุ รักษาคนป่วย ชุบคนตายให้ฟื้น ฯลฯ เห็นพระเยซูถูกตรึงตายบนกางเขน และทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ บรรดาสาวกต่างเป็นพยานถึงการอัศจรรย์นี้และบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ถึงแม้จะถูกศัตรูข่มขู่เอาชีวิตแต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธความจริงเหล่านี้ ทุกวันนี้ การอัศจรรย์ยังคงดำเนินต่อไปในชีวิตของผู้ที่เชื่อพระเจ้าทุกคน และต่างเป็นพยานว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั้นยังทรงพระชนม์อยู่
9 ความจริงในธรรมชาติ
มนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน ต่างพยายามแสวงหาคำตอบว่าธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ คือ จักรวาล ท้องฟ้า ภูเขา ทะเล ต้นไม้และสัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมาจากไหน และใครคือผู้สร้าง ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่สลับซับซ้อนนี้เป็นไปได้หรือที่จะเกิดขึ้นเอง เหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อพระเจ้าพยายามอธิบายเป็นข้อสมมุติฐานว่า จักรวาลนี้ และสิ่งมีชีวิตต่างๆอุบัติขึ้นด้วยความบังเอิญ ซึ่งคำกล่าวนี้ขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องสามารถพิสูจน์ได้ซ้ำๆกันหลายๆครั้งและทุกครั้งจะต้องได้ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบที่ดีไปกว่าการที่จะเชื่อว่า มีพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ตามที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
10 คำทำนายถึงพระเยซูคริสต์
ภายหลังจากมนุษย์คู่แรก อาดัมและเอวา ได้ทำบาปเพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้า นับตั้งแต่นั้น มนุษย์ก็ตกอยู่ในความบาปและมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก เพื่อเอาตัวรอด มนุษย์เริ่มเอาเปรียบกัน โลภ ไร้ความเมตตา ขาดความรัก สงครามเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถครอบครองสิ่งต่างๆมากสักเพียงไร มนุษย์ก็ไม่เคยรู้สึกพอและมีความสุข จิตใจของมนุษย์ร่ำร้องหาความสุขแท้ มนุษย์พยายามสร้างศาสนาขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากบาปและความทุกข์ คำสอนของศาสนาเป็นสิ่งที่ดีแต่ยากเกินกว่าที่จะทำตามได้ สิ่งที่มนุษย์ต้องการไม่ใช่คำสอนที่ดีแต่เป็นมือที่จะยื่นออกมาช่วยเหลือเขา พระเจ้าทรงรักและสงสารมนุษย์ จึงได้สัญญาโดยบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นเวลานานนับพันปีว่า พระองค์จะมาประสูติจากหญิงพรหมจารี ที่เมืองเบลเลเฮม ประเทศอิสราเอล และเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พระองค์จะสอนคนทั้งหลายให้รู้จัก พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และจะถูกจับตรึงตายที่กางเขน แต่ฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เพื่อทุกคนที่เชื่อศรัทธาในพระองค์จะมีชีวิตที่รอดพ้นจากบาป และได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ช่างน่าอัศจรรย์! ที่สิ่งเหล่านี้ได้บังเกิดขึ้นเป็นไปตามคำทำนายที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทุกประการ
ค้นหาความจริง หวังว่าเหตุผล 10 ประการที่ท่านได้อ่านจบไปแล้วนั้น จะช่วยปัดเป่าหมอกควันแห่งความสงสัยที่เคยมี และช่วยเปิดประเด็น ความคิด ความสนใจ ในเรื่องพระเจ้า ที่เคยได้ยินมาแต่ยังไม่สนใจ เคยได้ฟังมาแต่ยังไม่เข้าใจ และก่อนที่เรื่องนี้ผ่านเลยท่านไปเหมือนทุกครั้ง ผมอยากที่จะเชิญชวนท่าน ที่จะให้โอกาสกับตนเองสักครั้งหนึ่ง โดยลองมาสืบค้นหาความจริงในเรื่องนี้ดู...เหมือนคนนับล้านที่ได้หาและพบมาแล้ว “ความจริง”.....ที่จะเปลี่ยนชีวิตของท่านตลอดไป) บทความที่คุณอ่านนี้ได้นำมาจากหนังสือมานาประจำวัน ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านทั่วโลก คุณสามารถอ่านบทความที่ให้ข้อคิดและกำลังใจทุกวันได้ทางหนังสือ อีเมล์ และ App มือถือ เพียงกรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์มและส่งถึงเรา เราจะจัดส่งหนังสือให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
หากคุณต้องการบทความชุดนี้ในรูปแบบแผ่นพับ กดที่ปุ่ม "สั่งซื้อแผ่นพับ" เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ แชร์บทความชุดนี้ |