Category  |  ODB

ธรรมชาติใหม่ของเราในพระคริสต์

ต้นสนสีน้ำเงินของเราผลัดลูกสนและใบเข็มออกมา หมอต้นไม้มาดูและอธิบายปัญหาว่า “มันก็แค่ทำตัวเป็นต้นสน” ฉันหวังว่าจะได้ยินคำอธิบายที่ดีกว่านั้นหรือวิธีการรักษา แต่หมอต้นไม้ยักไหล่และพูดอีกครั้งว่า “มันก็แค่ทำตัวเป็นต้นสน” โดยธรรมชาติแล้วต้นไม้นี้ผลัดใบเข็ม มันเปลี่ยนไม่ได้

ขอบคุณพระเจ้าที่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยการกระทำหรือมุมมองที่เปลี่ยนไม่ได้ เปาโลย้ำความจริงนี้กับผู้เชื่อใหม่ที่เอเฟซัส ท่านกล่าวว่า คนต่างชาติมี “ความคิด...มืดมนไป” จิตใจของพวกเขาปิดต่อพระเจ้า พวกเขามีใจที่แข็งกระด้าง “ทำการโสโครกทุกอย่าง” และปล่อยตัวทำการลามกและละโมบ (อฟ.4:18-19)

อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า แต่ “ท่านได้ฟังเรื่อง[พระเยซู]” และความจริงของพระองค์แล้ว “ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย” (ข้อ 22) เปาโลบันทึกว่าตัวตนเก่าของเราจะ “เสื่อมเสียไป...ตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง” และกล่าวอีกว่า “จงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (ข้อ 22-24)

และท่านเขียนถึงวิถีใหม่ในการดำเนินชีวิต นั่นคือ เลิกพูดโกหก เอาชนะความโกรธ หยุดการแช่งด่า เลิกการขโมย “แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน” (ข้อ 28) ตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์นั้นทำให้เรามีชีวิตที่คู่ควรกับการทรงเรียกของพระเจ้า ซึ่งได้ยอมจำนนต่อวิถีขององค์พระผู้ช่วยให้รอด

การทรงสถิตของพระเจ้า

โมนิคกำลังมีปัญหา เธอมีเพื่อนที่เชื่อในพระเยซูและเธอเคารพวิธีที่พวกเขาจัดการกับปัญหาในชีวิต เธอรู้สึกอิจฉาพวกเขาด้วยซ้ำ แต่โมนิคไม่คิดว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตแบบพวกเขาได้ เธอคิดว่าการเชื่อในพระคริสต์นั่นคือการทำตามกฎเกณฑ์ ในที่สุดเพื่อนร่วมชั้นเรียนช่วยให้เธอเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้จะทำลายชีวิตเธอ แต่พระองค์ทรงต้องการให้เธอได้รับสิ่งที่ดีที่สุดทั้งในช่วงเวลาที่ชีวิตดีหรือในยามที่มีปัญหา เมื่อเธอเข้าใจเรื่องนี้แล้ว โมนิคก็พร้อมที่จะวางใจให้พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ และยอมรับความจริงอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเธอ 

กษัตริย์ซาโลมอนอาจให้คำแนะนำที่คล้ายกันนี้แก่โมนิค พระองค์ตระหนักว่าโลกนี้มีความทุกข์อยู่ แน่ทีเดียว “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง” (ปญจ.3:1) “มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ” (ข้อ 4) แต่ยังมีมากกว่านั้น คือพระเจ้า “ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์” (ข้อ 11) นิรันดร์กาลหมายถึงการมีชีวิตอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์

โมนิคได้ชีวิต “อย่างครบบริบูรณ์” เมื่อเธอวางใจในพระองค์ ดังที่พระเยซูตรัส (ยน.10:10) แต่เธอได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก! โดยผ่านทางความเชื่อแล้ว “นิรันดร์กาลในจิตใจ [ของเธอ]” (ปญจ.3:11) ได้กลายเป็นพระสัญญาแห่งอนาคตเมื่อความทุกข์ในชีวิตจะถูกลืมไป (อสย.65:17) และการทรงสถิตอันเต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้าจะเป็นความจริงนิรันดร์

ในอ้อมแขนของพระเจ้า

เสียงของเครื่องกรอฟันทำให้ซาร่าห์วัยห้าขวบหวาดกลัว เธอกระโดดออกจากเก้าอี้หมอฟันและไม่ยอมกลับไปนั่งอีก หมอฟันพยักหน้าอย่างเข้าใจและบอกกับพ่อของเธอว่า “คุณพ่อช่วยนั่งเก้าอี้ด้วยครับ” เจสันนึกว่าเขาจะต้องแสดงให้ลูกสาวเห็นว่ามันง่ายแค่ไหน แต่แล้วหมอฟันก็หันไปหาเด็กหญิงแล้วพูดว่า “ทีนี้ หนูปีนขึ้นมานั่งบนตักคุณพ่อหน่อย” ในตอนนี้เมื่อพ่อโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนที่ให้ความมั่นใจ ซาร่าห์ก็รู้สึกผ่อนคลายและหมอฟันจึงสามารถทำงานต่อได้

ในวันนั้น เจสันได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญถึงเรื่องความอบอุ่นใจจากการสถิตอยู่ด้วยของพระบิดาในสวรรค์ “บางครั้งพระเจ้า [เลือกที่จะไม่] เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่” เขาพูด “แต่พระเจ้าทรงสำแดงให้ผมเห็นว่า ‘เราจะอยู่ตรงนั้นกับเจ้า’”

สดุดี 91 พูดถึงการทรงสถิตที่อบอุ่นใจและฤทธิ์เดชของพระเจ้าซึ่งประทานกำลังให้เราในการเผชิญการทดลอง การรู้ว่าเราสามารถเข้าไปพักสงบในอ้อมแขนอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ได้นั้้นทำให้เรามีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ดังที่พระองค์ทรงสัญญาต่อคนเหล่านั้นที่รักพระองค์ว่า “เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก” (ข้อ 15)

ชีวิตมีอุปสรรคและการทดลองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มากมาย และเราจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและทรมานอย่างหนีไม่พ้น แต่ด้วยอ้อมแขนอันมั่นคงของพระเจ้าที่โอบกอดเราไว้ เราจะอดทนต่อสถานการณ์และวิกฤตการณ์ของเราได้ และยอมให้พระองค์เสริมกำลังความเชื่อของเราให้เข้มแข็งขึ้นขณะที่เราเติบโตผ่านเหตุการณ์เหล่านั้น

พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์

ทารกน้อยเกรแฮมร้องโวยวายและดิ้นไปมาขณะที่แม่จับเขาวางไว้บนตักเพื่อให้หมอใส่เครื่องช่วยฟังเครื่องแรกให้กับเขา เมื่อหมอเปิดเครื่องช่วยฟัง เกรแฮมหยุดร้องไห้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และเขายิ้ม เขาได้ยินเสียงแม่กำลังปลอบโยน ให้กำลังใจและเรียกชื่อของเขา

ทารกน้อยเกรแฮมได้ยินเสียงแม่พูด แต่เขาต้องการความช่วยเหลือในการเรียนรู้ที่จะจดจำเสียงของแม่และเข้าใจความหมายที่แม่พูด พระเยซูทรงเชิญชวนให้คนเข้ามาสู่กระบวนการเรียนรู้ที่คล้ายกันนี้ เมื่อเราต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว เราก็กลายเป็นลูกแกะที่พระองค์ทรงรู้จักอย่างใกล้ชิดและทรงนำเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว (ยน.10:3) เราจะวางใจและเชื่อฟังพระองค์มากขึ้นเมื่อเราฝึกที่จะฟังและจดจ่อกับเสียงของพระองค์ (ข้อ 4)

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าในสภาพเนื้อหนังทรงตรัสกับประชากรโดยตรง ในปัจจุบัน ผู้เชื่อในพระเยซูเข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พระองค์ช่วยให้เราเข้าใจและเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าที่พระองค์ทรงดลใจและบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราสามารถสื่อสารกับพระเยซูได้โดยตรงผ่านการอธิษฐาน ในขณะที่พระองค์ทรงตรัสกับเราผ่านพระวจนะและผ่านคนของพระองค์ เมื่อเราเริ่มรู้จักเสียงของพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับพระคำของพระองค์ในพระคัมภีร์เสมอนั้น เราก็จะสามารถร้องสรรเสริญด้วยใจขอบพระคุณได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์!”

ผู้นำแบบพระธรรมสดุดี 72

ในเดือนกรกฎาคมปี 2022 นายกรัฐมนตรีอังกฤษถูกกดดันให้ออกจากตำแหน่งภายหลังจากเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่าเป็นความไม่ซื่อตรงทางจริยธรรม (นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ก็ลาออกจากตำแหน่งในไม่กี่เดือนต่อมา!) เหตุการณ์นี้ถูกจุดชนวนขึ้นเมื่อรัฐมนตรีสาธารณสุขเข้าร่วมการอธิษฐานช่วงเช้าประจำปีของรัฐสภา เขาตระหนักถึงจริยธรรมที่ขาดไปในการปฏิบัติหน้าที่และลาออก เมื่อรัฐมนตรีคนอื่นลาออกตามไป นายกรัฐมนตรีจึงตระหนักได้ว่าเขาต้องออกเช่นเดียวกัน นั่นเป็นเหตุการณ์อันน่าทึ่งที่เริ่มจากการประชุมอธิษฐานอันเงียบสงบ

ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้อธิษฐานเผื่อผู้นำทางการเมืองของพวกเขา (1ทธ.2:1-2) และสดุดีบทที่ 72 เป็นคู่มือที่ดีในการทำเช่นนั้น เพราะมีทั้งคำอธิบายถึงหน้าที่ของผู้นำและคำอธิษฐานที่จะช่วยให้พวกเขาทำตามนั้นได้ สดุดีบทนี้บรรยายถึงผู้นำที่ดีว่าเป็นคนแห่งความยุติธรรมและชอบธรรม (ข้อ 1-2) ผู้ปกป้องคนยากจน (ข้อ 4) ช่วยเหลือคนขัดสน (ข้อ 12-13) และต่อต้านการกดขี่บีบบังคับ (ข้อ 14) ตลอดการทำงานของเขานำมาซึ่งการฟื้นฟู เหมือนกับ “ห่าฝนที่รดแผ่นดินโลก” (ข้อ 6) นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดิน (ข้อ 3,7,16) แม้ว่ามีเพียงพระเมสสิยาห์เท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ (ข้อ 11) แต่เราก็ไม่อาจหามาตรฐานของผู้นำที่ดีกว่านี้ได้แล้ว

ความซื่อตรงมีจริยธรรมของผู้มีอำนาจปกครองจะเป็นตัวกำหนดสถานภาพของประเทศ ขอให้เราแสวงหา “ผู้นำแบบพระธรรมสดุดี 72” เพื่อชนชาติของเราและช่วยให้พวกเขาเปี่ยมด้วยคุณสมบัติเช่นในสดุดีบทนี้ด้วยการอธิษฐานเผื่อพวกเขา

ประชุมกันในพระเยซู

ในเวลาที่ฉันเผชิญกับความเจ็บปวดทางอารมณ์และจิตวิญญาณ และต้องต่อสู้กับสถานการณ์ยุ่งยากในชีวิตเป็นเวลานานนั้น ฉันอาจถอนตัวจากคริสตจักรไปได้ง่ายๆ (และบางครั้งฉันคิดคำนึงว่า “จะลำบากไปทำไม”) แต่ฉันก็รู้สึกถึงหน้าที่ที่จะต้องไปทุกสัปดาห์

แม้ว่าสถานการณ์ของฉันจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ตลอดหลายปี แต่การได้สรรเสริญพระเจ้าและรวมกลุ่มกับผู้เชื่ออื่นในการนมัสการ ในกลุ่มอธิษฐาน และกลุ่มเรียนพระคัมภีร์ ได้มอบกำลังใจที่จำเป็นแก่ฉันเพื่อจะยืนหยัดและยังคงมีความหวัง และหลายครั้งที่ฉันไม่เพียงได้ฟังข้อความหรือคำสอนที่หนุนใจ แต่ฉันยังได้รับการปลอบประโลมใจ มีคนที่รับฟัง และได้รับอ้อมกอดที่ฉันต้องการจากคนอื่น

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเขียนไว้ว่า “อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น” (ฮบ.10:25) ผู้เขียนฮีบรูทราบว่าเมื่อเราเผชิญกับความทุกข์และความยากลำบาก เราจะต้องการการหนุนใจจากคนอื่น และคนอื่นก็ต้องการจากเราเช่นเดียวกัน ผู้เขียนจึงเตือนผู้อ่านให้ “ยึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น” และพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะ “ปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี” (ข้อ 23-24) นี่คือหัวใจหลักของการหนุนใจ นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงนำให้เราประชุมกันอย่างสม่ำเสมอ มีบางคนที่อาจต้องการคำหนุนใจด้วยความรักจากคุณ และคุณจะประหลาดใจกับสิ่งที่ได้รับคืนมา

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้วในวันนี้!

ก่อนที่ชาร์ลส์ ซีเมียนจะเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เขาชื่นชอบม้าและเสื้อผ้า และใช้เงินจำนวนมากไปกับเครื่องแต่งกายทุกปี แต่เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยให้เขาเข้าร่วมพิธีมหาสนิทที่จัดขึ้นเป็นประจำ เขาจึงเริ่มสำรวจสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หลังจากได้อ่านหนังสือหลายเล่มซึ่งเขียนโดยผู้เชื่อในพระเยซู เขาก็ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งในวันอาทิตย์อีสเตอร์ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1779 เขาร้องว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้วในวันนี้! ฮาเลลูยา! ฮาเลลูยา!” ขณะที่ความเชื่อในพระเจ้าเติบโตขึ้น เขาได้อุทิศตนในการศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐาน และร่วมประชุมนมัสการ

ในวันอีสเตอร์แรก หญิงสองคนที่ไปถึงอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูได้พบกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่นั่นพวกเธอได้เผชิญกับแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อทูตองค์หนึ่งกลิ้งก้อนหินออกไป ทูตสวรรค์กล่าวแก่หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่า พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้นั้น” (มธ.28:5-6) หญิงเหล่านั้นจึงนมัสการพระเยซูและวิ่งกลับไปบอกข่าวดีแก่สหายของตนด้วยความยินดีอย่างยิ่ง

การได้พบกับพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนยุคก่อนเท่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าจะพบกับเราที่นี่และตอนนี้ เราอาจได้พบกับการเผชิญหน้าอันน่าทึ่งเหมือนพวกผู้หญิงที่อุโมงค์หรือเหมือนกับชาร์ลส์ ซีเมียน หรืออาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด พระเยซูจะทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่เรา และเราสามารถวางใจได้ว่าพระองค์ทรงรักเรา

ความทุกข์ทรมานของพระคริสต์

ก่อนที่จิม คาวีเซล จะรับบทพระเยซูในภาพยนตร์เรื่อง เดอะแพสชั่นออฟ เดอะไครสต์ ผู้กำกับเมล กิ๊บสันเตือนว่าบทนี้ยากมากและอาจส่งผลทางลบต่ออาชีพในฮอลลีวู้ดของเขา ถึงอย่างนั้นคาวีเซลก็ยังรับเล่นบทนี้โดยพูดว่า “ผมคิดว่าเราต้องลงมือทำ แม้ว่าจะยาก”

ระหว่างการถ่ายทำ คาวีเซลถูกฟ้าผ่า น้ำหนักลดไปยี่สิบกิโลกรัม และถูกเฆี่ยนจริงโดยไม่ได้ตั้งใจในฉากเฆี่ยนตี ภายหลังเขากล่าวว่า “ผมไม่ต้องการให้คนเห็นว่านั่นคือผม ผมแค่อยากให้พวกเขาเห็นว่านั่นคือพระเยซู การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นผ่านสิ่งนั้น” ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อคาวีเซลและคนอื่นๆในกองถ่ายอย่างมาก และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามีผู้คนกี่ล้านคนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วพบกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเดอะแพสชั่นออฟเดอะไครสต์ ถ่ายทอดช่วงเวลาการทนทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเยซู ตั้งแต่การเสด็จเข้ากรุงอย่างผู้พิชิตในวันอาทิตย์ทางตาล รวมถึงการถูกทรยศ เยาะเย้ย เฆี่ยนตี และตรึงกางเขน เหตุการณ์เหล่านี้ปรากฏอยู่ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม

อิสยาห์ 53 ได้บอกถึงการทนทุกข์ของพระองค์และผลที่ตามมาไว้ล่วงหน้า “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้นตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (ข้อ 5) เราทุกคน “ได้เจิ่นไปเหมือนแกะ” (ข้อ 6) แต่เพราะการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า การทนทุกข์ของพระองค์เปิดหนทางให้เราได้อยู่กับพระองค์

พระเยซูผู้เป็นตัวแทนของเรา

เศรษฐีวัยยี่สิบปีขับรถพุ่งชนคนเดินเท้าเสียชีวิตขณะแข่งรถทางตรงกับเพื่อนๆ แม้ชายหนุ่มจะได้รับโทษจำคุกสามปี แต่มีบางคนเชื่อว่าชายที่ปรากฏตัวในศาล (และถูกจำคุกในเวลาต่อมา) เป็นคนที่ถูกจ้างมาเป็นตัวแทนคนขับรถที่ก่อเหตุ เป็นที่รู้กันว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบางประเทศที่มีการจ้างคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันเพื่อหลีกเลี่ยงการรับโทษที่ตนเองก่อ

นี่อาจฟังดูเป็นเรื่องอุกอาจและน่าอดสู แต่เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว พระเยซูก็ได้ทรงเป็นตัวแทนของเราและ “สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป[ของเรา]คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม” (1 ปต.3:18) พระคริสต์ผู้ทรงเป็นเครื่องบูชาที่ปราศจากบาปของพระเจ้า ได้ทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียวเพื่อคนทั้งปวง (ฮบ.10:10) คือทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ทรงรับโทษบาปทั้งหมดของเราไว้ในพระกายของพระองค์บนไม้กางเขน ต่างจากคนในสมัยนี้ที่เลือกจะเป็นตัวแทนของอาชญากรเพื่อแลกกับเงิน แต่การที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์แทนเราบนกางเขนนำ “ความหวัง” มาให้เรา เพราะพระองค์เต็มพระทัยสละพระชนม์เพื่อเรา (1 ปต.3:15, 18; ยน.10:15) พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเรากับพระเจ้า

ขอให้เราชื่นชมยินดีและพบกับความสบายใจและมั่นใจในความจริงอันลึกซึ้งนี้ที่ว่า โดยการที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แทนเราเท่านั้น ที่ทำให้เราซึ่งเป็นคนบาป สามารถกลับสู่ความสัมพันธ์และเข้าสนิทฝ่ายวิญญาณอย่างสมบูรณ์กับพระเจ้าผู้ทรงรักเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา