Category  |  ODB

พร้อมลุยเพื่อพระเจ้า

หนังสือเรื่องทีมเงาอัจฉริยะ (Hidden Figures) เล่าถึงการเตรียมตัวของจอห์น เกล็นในการบินสู่อวกาศ ในปีค.ศ. 1962 คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ซึ่งอาจยังมีข้อบกพร่องอยู่ เกล็นไม่ไว้ใจพวกมันและกังวลเกี่ยวกับการคำนวณตัวเลขสำหรับการปล่อยยาน เขารู้จักผู้หญิงอัจฉริยะคนหนึ่งในห้องด้านหลังที่สามารถคำนวณตัวเลขเหล่านั้นได้ เขาเชื่อใจเธอ “ถ้าเธอบอกว่าตัวเลขถูกต้อง” เกล็นกล่าว “ผมก็พร้อมลุย”

แคทเธอรีน จอห์นสันเป็นครูและคุณแม่ลูกสาม เธอรักพระเยซูและรับใช้ในคริสตจักรของเธอ พระเจ้าทรงอวยพรให้แคทเธอรีนมีสมองที่พิเศษ นาซ่าได้ทาบทามเธอให้มาช่วยในโครงการอวกาศในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 เธอคือ “ผู้หญิงฉลาด” หนึ่งใน “มนุษย์สมองกล” ที่่พวกเขาว่าจ้างในเวลานั้น

เราอาจไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นนักคำนวณที่ฉลาดหลักแหลม แต่พระเจ้าทรงเรียกเราทั้งหลายเพื่อสิ่งอื่น “พระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทานให้” (อฟ.4:7) เราต้อง “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (ข้อ 1) เราเป็นอวัยวะของร่างกายที่ “ทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม” (ข้อ 16)

การคำนวณของแคทเธอรีนยืนยันแนววิถีโคจร การทะยานสู่วงโคจรของเกล็นประสบความสำเร็จอย่างงดงามชนิดที่เรียกได้ว่า “เข้าเป้า” แต่นี่เป็นเพียงการทรงเรียกหนึ่งในหลายๆอย่างของแคทเธอรีน เธอยังถูกเรียกให้เป็นแม่ ครู และผู้รับใช้ในคริสตจักรด้วย เราอาจต้องถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำอะไรไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยหรือใหญ่โต เรา “พร้อมลุย” โดยใช้ของประทานแห่งพระคุณที่ทรงมอบให้ และ “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (ข้อ 1) หรือไม่

บ้านในพระเยซู

“ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน” โดโรธีพูดและเคาะส้นรองเท้าสีทับทิมของเธอ ในเรื่องพ่อมดแห่งออซ เพียงทำแค่นั้นก็สามารถพาโดโรธีและโตโต้ออกจากออซกลับสู่บ้านของพวกเขาที่แคนซัสได้อย่างมหัศจรรย์

แต่โชคร้ายที่ไม่มีรองเท้าสีทับทิมมากพอสำหรับทุกคน แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกคิดถึงบ้านเหมือนโดโรธี แต่การที่จะเจอบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งนั้นบางครั้งก็ยากจะเป็นไปได้

หนึ่งในผลของการใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วคือความรู้สึกแปลกแยก ความรู้สึกสงสัยว่าเราจะเจอที่ที่เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่ ความรู้สึกนี้อาจจะสะท้อนความจริงที่ลึกลงไปที่กล่าวไว้โดย ซี. เอส. ลูอิสว่า “ถ้าผมมีความปรารถนาที่ประสบการณ์ในโลกนี้ไม่สามารถเติมเต็มให้ได้แล้ว คำอธิบายที่ดีที่สุดน่าจะเป็นเพราะผมถูกสร้างมาเพื่ออีกโลกหนึ่ง”

ในคืนก่อนจะไปที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงย้ำกับสหายของพระองค์ถึงบ้านหลังนั้นว่า “ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย” (ยน.14:2) คือบ้านที่เราจะได้รับการต้อนรับและเป็นที่รัก

แต่เราจะพบบ้านนั้นในเวลานี้ได้เช่นกัน เราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวคริสตจักรของพระเจ้า และเรามีชีวิตในชุมชนร่วมกับพี่ชายและน้องสาวในพระคริสต์ เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสันติสุขและความเปรมปรีดิ์ของพระองค์ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้นที่พระเยซูพาเราไปยังบ้านที่หัวใจของเราโหยหา เราอยู่ในบ้านกับพระองค์เสมอ

พระเจ้ารู้ถึงความจำเป็นในชีวิตเรา

แลนโด้ ซึ่งเป็นคนขับรถจี๊ปนี่ (รถโดยสารสาธารณะประเภทหนึ่งในฟิลิปปินส์) ในกรุงมะนิลากำลังดื่มกาแฟอยู่ที่ร้านข้างถนน ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตเดินทางไปทำงานอีกครั้งหลังจากการล็อกดาวน์ของโควิด19 เขาคิดในใจว่างานกีฬาวันนี้จะทำให้มีผู้โดยสารมากขึ้น ผมจะมีรายได้ที่หายไปคืนมา แล้วที่สุดก็จะได้หยุดกังวลสักที

เขากำลังจะเริ่มขับรถเมื่อมองเห็นรอนนี่บนม้านั่งใกล้ๆ คนกวาดถนนดูเหมือนกำลังมีปัญหา เหมือนเขาต้องการคุยกับใครสักคน แต่ทุกนาทีมีค่านะ แลนโด้นึกในใจ ยิ่งผู้โดยสารมาก ยิ่งได้เงินมาก ผมช้าไม่ได้หรอก แต่เขารู้สึกว่าพระเจ้าต้องการให้เขาเข้าไปหารอนนี่ และเขาก็ทำตาม

พระเยซูทรงรู้ว่าการไม่กังวลนั้นยากเพียงใด (มธ.6:25-27) พระองค์จึงยืนยันกับเราว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่เราต้องการ (ข้อ 32) เราได้รับการย้ำเตือนไม่ให้กังวล แต่ให้วางใจในพระองค์และทุ่มเททำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ (ข้อ 31-33) เมื่อเรายอมรับและเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้า เรามั่นใจได้ว่าพระบิดาของเราผู้ทรง “ตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ” จะจัดเตรียมให้แก่เราตามน้ำพระทัยของพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้กับบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น (ข้อ 30)

เพราะบทสนทนาของแลนโด้กับรอนนี่ คนกวาดถนนผู้นี้จึงได้อธิษฐานเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ในที่สุด “และพระเจ้ายังทรงจัดเตรียมผู้โดยสารให้เพียงพอในวันนั้นด้วย” แลนโด้แบ่งปันว่า “พระองค์ย้ำเตือนกับผมว่าพระองค์ทรงใส่ใจในความจำเป็นของผม และสิ่งที่ผมควรห่วงคือการติดตามพระองค์”

พระเจ้าแห่งความเป็นระเบียบ

เซทกินยาทั้งหมดที่เขาพบในตู้ยา ชีวิตเขายุ่งเหยิงเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ความแตกสลายและสับสนไม่เป็นระเบียบ แม่ของเขาถูกพ่อทำร้ายเป็นประจำจนกระทั่งพ่อจบชีวิตตัวเองลง และตอนนี้เซทอยากจะ “จบ” ชีวิตของเขาเช่นกัน แต่แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมา ผมจะไปที่ไหนเมื่อตายแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า เซทไม่ได้ตายในวันนั้น และไม่นานหลังจากได้เรียนพระคัมภีร์กับเพื่อน เขาก็ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนหนึ่งที่นำให้ เซทเข้าหาพระเจ้าเพราะเขาเห็นความงามและความเป็นระเบียบของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เขาพูดว่า “ผม...เห็นสิ่งที่สวยงามมาก มีใครบางคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา”

ในปฐมกาลบทที่ 1 เราได้อ่านถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และแม้ว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (ข้อ 2) พระองค์ได้ทรงให้เกิดมีความเป็นระเบียบขึ้น พระองค์ “ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด” (ข้อ 4) ทรงวางแผ่นดินไว้ท่ามกลางทะเล (ข้อ 10) และสร้างพืชและสัตว์ ”ตามชนิด” ของมัน (ข้อ 11-12, 21, 24-25) พระเจ้าผู้ทรง “สร้างฟ้าสวรรค์...ทรงปั้นแต่งและสร้างโลก ทรงสถาปนามันไว้” (อสย.45:18 TNCV) ยังทรงนำสันติสุขและระเบียบมาสู่คนที่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ อย่างที่เซทได้เรียนรู้แล้วนั้น

ชีวิตอาจยุ่งเหยิงและมีอุปสรรค แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ไม่ใช่ “พระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข” (1คร.14:33) จงร้องทูลต่อพระองค์ในวันนี้ และขอพระองค์ทรงช่วยให้เรามองเห็นความงามและความเป็นระเบียบที่พระองค์เท่านั้นทรงประทานให้ได้

ทูตแห่งสันติของพระเจ้า

นอร่าไปเข้าร่วมการประท้วงอย่างสันติเพราะเธอรู้สึกอย่างแรงกล้าต่อปัญหาเรื่องความยุติธรรม การประท้วงเกิดขึ้นเงียบๆตามที่วางแผนไว้ ผู้ประท้วงเดินผ่านใจกลางเมืองด้วยความเงียบอันทรงพลัง

แล้วรถบัสสองคันก็มาจอด ผู้ก่อกวนจากนอกเมืองมาถึง การจลาจลเกิดขึ้นตามมา นอร่าจึงออกมาด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าความตั้งใจดีของพวกเขาไม่เกิดผล

เมื่ออัครทูตเปาโลไปเยี่ยมวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาคนที่ต่อต้านท่านเห็นท่านที่นั่น พวกเขา “มาจากแคว้นเอเชีย” (กจ.21:27) และมองว่าพระเยซูเป็นศัตรูต่อวิถีชีวิตของพวกเขา พวกเขาป่าวประกาศข่าวลือและเรื่องโกหกเกี่ยวกับเปาโลซึ่งก่อปัญหาขึ้นอย่างรวดเร็ว (ข้อ 28-29) ฝูงชนลากเปาโลออกจากพระวิหารและทุบตีท่าน ทหารพากันวิ่งมา

เมื่อเปาโลถูกจับ ท่านขอนายพันชาวโรมันเพื่อจะพูดกับประชาชน (ข้อ 37-38) เมื่อได้รับอนุญาต ท่านพูดกับประชาชนด้วยภาษาของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจและรู้สึกสนใจ (ข้อ 40) และด้วยวิธีนั้น เปาโลได้เปลี่ยนการจลาจลให้เป็นโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ท่านได้รับการช่วยกู้จากศาสนาที่ตายไปแล้ว (22:2-21)

คนบางคนรักความรุนแรงและการแบ่งแยก จงอย่าท้อใจ พวกเขาจะไม่ชนะ พระเจ้าทรงมองหาผู้เชื่อที่กล้าหาญซึ่งจะแบ่งปันแสงสว่างและสันติสุขของพระองค์ให้แก่โลกที่สิ้นหวังของเรา สิ่งที่ดูเหมือนเป็นวิกฤตอาจจะเป็นโอกาสให้คุณได้สำแดงความรักของพระเจ้ากับใครบางคนก็เป็นได้

ทุ่งหญ้าร้องเพลง

ฉันมักหยอกล้อแม่สามีด้วยความรักอยู่บ่อยๆในเรื่องที่เธอสามารถพูดคุยกับสุนัขของเธอได้ เธอตอบสนองต่อเสียงเห่าของพวกมันด้วยความเข้าใจจากความรัก และเธอกับเจ้าของสุนัขจากทุกมุมโลกอาจฟังเสียงเจ้าตูบหัวเราะด้วยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้ง สุนัข วัว สุนัขจิ้งจอก แมวน้ำ และนกแก้ว ล้วนมี “พฤติกรรมการเล่นเสียง” หรือที่รู้กันว่าเป็นเสียงหัวเราะ การระบุเสียงเหล่านี้จะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเล่นของสัตว์กับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการต่อสู้กันในมุมมองของมนุษย์

การหัวเราะและการแสดงความสุขของสัตว์ ทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าชื่นชมยินดีว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอื่นๆมีวิธีสรรเสริญพระเจ้าตามวิถีของมันอย่างไร เมื่อกษัตริย์ดาวิดมองดูสิ่งรอบตัว ท่านได้เห็นว่า “เนินเขาคาดเอวด้วยความชื่นบาน” และป่าพงกับหุบเขา “โห่ร้อง” ด้วยความชื่นบาน (สดด.65:12-13) ดาวิดระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลและทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ทรงประทานทั้งความงามและการค้ำจุนดูแล

แม้สิ่งรอบตัวเราจะไม่ได้ “ร้องเพลง” ออกมาจริงๆ แต่ทุกสิ่งเป็นพยานถึงพระเจ้าที่ยังทรงกระทำกิจอยู่ในการทรงสร้างของพระองค์ และในทางกลับกันก็ได้เชิญชวนให้เราสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงของเรา ขอให้เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินโลก” จง “เกรงกลัวต่อหมายสำคัญของพระองค์” และตอบสนองต่อพระองค์ด้วย “[บทเพลงแห่ง]ความชื่นบาน” (ข้อ 8 TNCV) เราวางใจได้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและเข้าใจเสียงเหล่านั้น

ดวงตาที่มองเห็น

เจเนวีฟต้องเป็น “ดวงตา” ให้กับลูกทั้งสามคนของเธอ แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับพันธุกรรมต้อกระจก ทุกครั้งที่เธอพาพวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านในสาธารณรัฐเบนิน ทวีปแอฟริกาตะวันตก เธอคาดเด็กทารกไว้บนหลัง พร้อมจับแขนและมือของลูกคนโตอีกสองคนไว้และระวังอันตรายอยู่เสมอ ในวัฒนธรรมที่คนคิดว่าความพิการทางสายตาเกิดจากแม่มด เจเนวีฟรู้สึกสิ้นหวังและเธอร้องขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า

ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านของเธอบอกเธอเกี่ยวกับองค์กรชื่อเรือแห่งความเมตตา (Mercy Ships) ซึ่งเป็นพันธกิจที่จัดเตรียมการผ่าตัดที่จำเป็น เพื่อจะถวายเกียรติแด่พระเยซูผู้เป็นแบบอย่างการนำความหวังและการรักษามาสู่ผู้ขัดสน เธอติดต่อไปหาพวกเขาแม้ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะช่วยได้หรือไม่ เมื่อเด็กๆตื่นขึ้นหลังการผ่าตัด พวกเขามองเห็น!

เรื่องราวของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับการทรงอยู่เคียงข้างผู้ที่อยู่ภายใต้ความมืดและนำพวกเขามาถึงแสงสว่างของพระองค์เสมอ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ประกาศว่าพระเจ้าจะ “เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” (อสย.42:6) พระองค์จะ “เบิกตาคนที่ตาบอด” (ข้อ 7) ซึ่งไม่เพียงฟื้นฟูดวงตาฝ่ายร่างกาย แต่ฝ่ายจิตวิญญาณด้วย และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะ “ยุด” มือคนของพระองค์ไว้ (ข้อ 6) พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นและนำแสงสว่างมาสู่คนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในความมืด

ถ้าคุณรู้สึกว่าพ่ายแพ้ต่อความมืด จงยึดความหวังไว้โดยโอบกอดพระสัญญาแห่งพระบิดาที่รักของเรา และอธิษฐานขอให้แสงของพระองค์ส่องสว่างลงมา

ประดับกายด้วยพระคริสต์

ฉันตื่นเต้นที่จะได้ใส่แว่นตาใหม่เป็นครั้งแรก แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็อยากโยนมันทิ้งไป ดวงตาของฉันล้าและศีรษะปวดตุบๆเพราะกำลังปรับตัวกับค่าสายตาใหม่ หูของฉันเจ็บจากขาแว่นที่ไม่คุ้นชิน วันต่อมาฉันโอดครวญเมื่อนึกได้ว่าจะต้องใส่มันอีก ฉันต้องตัดสินใจซ้ำๆที่จะเลือกใช้แว่นตาอันนี้ในแต่ละวันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ซึ่งใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ทีเดียว แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้สึกว่ากำลังใส่มันอยู่อีกต่อไป

การสวมใส่สิ่งใหม่ต้องอาศัยการปรับตัว แต่เราจะคุ้นเคยกับมันเมื่อเวลาผ่านไป และมันก็เหมาะกับเรามากกว่า เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย ในโรม 13 อัครทูตเปาโลบอกผู้ติดตามพระคริสต์ให้ “สวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” (ข้อ 12) และประพฤติตัวให้เหมาะสม พวกเขาเชื่อในพระเยซูแล้ว แต่ดูเหมือนจะยัง “หลับ” อยู่และรู้สึกพอใจแบบนั้น พวกเขาต้อง “ตื่นจากหลับ” และลงมือทำ ประพฤติตัวให้เหมาะสมและละทิ้งความบาป (ข้อ 11-13) เปาโลหนุนใจพวกเขาให้ประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นในความคิดและการกระทำ (ข้อ 14)

เราไม่อาจสะท้อนวิถีแห่งความรัก ความอ่อนสุภาพ ความกรุณา ความเมตตาและความสัตย์ซื่อของพระเยซูได้ในแค่ชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นกระบวนการที่ยาวนานของการเลือกที่จะ “สวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” ในทุกวัน แม้ในเวลาที่เราไม่อยากทำเพราะมันไม่สะดวกสบาย เมื่อเวลาผ่านไป พระองค์จะทรงเปลี่ยนเราให้ดีกว่าเดิม

ความปีติยินดีในเมือง

เมื่อฝรั่งเศสพบอาร์เจนตินาในรอบชิงฟุตบอลโลกปี 2022 นั้น การแข่งขันอันน่าเหลือเชื่อทำให้หลายคนตั้งให้เป็น “เกมการแข่งฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” เมื่อเวลานับถอยหลังเข้าสู่ช่วงทดเวลา คะแนนเสมอกันอยู่ที่ 3-3 ทำให้สองฝ่ายต้องยิงลูกโทษ เมื่ออาร์เจนตินายิงประตูชนะได้ ประชาชนแห่แหนกันออกมาเฉลิมฉลอง ชาวอาร์เจนตินากว่าหนึ่งล้านคนเนืองแน่นอยู่ในตัวเมืองบัวโนสไอเรส ภาพจากโดรนที่ปรากฏบนโลกโซเชียลแสดง
ให้เห็นความอึกทึกเปี่ยมสุขนี้ รายงานข่าวจากช่องวันบีบีซีบรรยายถึงเมืองที่สั่นสะเทือนไปด้วย “ความปีติยินดีอย่างล้นหลาม”

ความปีติยินดีเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงการที่บ้านเมืองและประชาชนจะมีความปีติยินดีที่ลึกซึ้งและคงอยู่นานกว่านั้น “เมื่อคนชอบธรรมเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองก็ปีติยินดี” (11:10 TNCV) เมื่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตตามแบบที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็นอย่างแท้จริงได้เริ่มส่งอิทธิพลในชุมชน นั่นเป็นสัญญาณแห่งข่าวดี เพราะหมายความว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากำลังครอบครองอยู่ ความโลภถูกทำลาย คนขัดสนได้พบการช่วยเหลือ และคนที่ถูกกดขี่ได้รับการปกป้อง เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามแบบของพระเจ้าทวีคูณขึ้น เมื่อนั้นบ้านเมืองก็มีความปีติยินดีและมี “พระพร” ในเมืองนั้น (ข้อ 11)

หากเราดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน วิธีที่เราใช้ชีวิตจะทำให้ชุมชนรอบตัวเราดีขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเชิญชวนให้เราเข้ามามีส่วนในงานของพระองค์ที่จะเยียวยาโลกนี้ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรานำความปีติยินดีมาสู่บ้านเมือง

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา