ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

สะท้อนแสงแห่งพระบุตร

หลังจากที่ฉันมีปัญหาขัดแย้งกับแม่ ในที่สุดเธอก็ยอมมาพบฉันในที่ซึ่งห่างจากบ้านฉันไปกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อไปถึง ฉันก็พบว่าเธอกลับไปก่อน แล้ว ด้วยความโกรธฉันจึงได้เขียนข้อความถึงเธอ แต่ฉันแก้ไขข้อความนั้นเมื่อรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเตือนให้ฉันตอบสนองด้วยความรัก หลังจากที่แม่อ่านข้อความที่ฉันแก้ไขแล้ว เธอโทรมาและพูดว่า “ลูกเปลี่ยนไปนะ” พระเจ้าทรงใช้ข้อความของฉันนำให้แม่ถามเกี่ยวกับพระเยซู และในที่สุดเธอได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ในมัทธิวบทที่ 5 พระเยซูยืนยันว่าสาวกของพระองค์เป็นความสว่างของโลก (ข้อ 14) พระองค์ตรัสว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (ข้อ 16) เมื่อเราต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเราเพื่อที่เราจะเป็นพยานที่ส่องสว่างถึงความจริงและความรักของพระเจ้าในทุกที่ที่เราไป

ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเป็นแสงสว่างแห่งความหวังและสันติสุขที่เปี่ยมด้วยความยินดีและเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวันได้ สิ่งดีทุกอย่างที่เราทำจะกลายเป็นการนมัสการด้วยใจขอบพระคุณ ซึ่งจะดึงดูดผู้อื่นและเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นความเชื่อที่เปี่ยมด้วยพลัง เมื่อเรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะถวายเกียรติแด่พระบิดาได้โดยการสะท้อนแสงแห่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู

โปรดเปิดดวงตาในหัวใจ

ในปี 2001 มีเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดชื่อคริสโตเฟอร์ ดัฟลีย์ ได้ทำให้ทีมแพทย์ประหลาดใจเพราะเขารอดชีวิต เมื่ออายุได้ห้าเดือน เขาได้เข้าสู่ระบบครอบครัวอุปถัมภ์ จนกระทั่งครอบครัวของป้ารับเลี้ยงเขา ครูคนหนึ่งพบว่าคริสโตเฟอร์วัยสี่ขวบ ที่แม้จะตาบอดและมีภาวะของออทิสติก แต่กลับสามารถระบุเสียงโน้ตดนตรีได้อย่างสมบูรณ์แบบ หกปีต่อมาที่คริสตจักร คริสโตเฟอร์อยู่บนเวทีและร้องเพลง “โปรดเปิดดวงตาในหัวใจ” วิดีโอนี้เข้าถึงคนนับล้านทางออนไลน์ ในปี 2020 คริสโตเฟอร์ได้แบ่งปันถึงเป้าหมายของเขาในการทำงานเป็นผู้พิทักษ์สิทธิ์ผู้พิการ เขายังคงพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดเมื่อดวงตาในหัวใจเขาเปิดออกต่อแผนการของพระเจ้า

เปาโลชมเชยคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสในความเชื่ออันกล้าหาญของพวกเขา (อฟ.1:15-16) ท่านขอพระเจ้าให้ประทาน “จิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้ง” เพื่อให้พวกเขา “รู้ถึงพระองค์” (ข้อ 17) ท่านอธิษฐานให้ตาใจของพวกเขา “สว่างขึ้น” หรือเปิดออก เพื่อพวกเขาจะเข้าใจถึงความหวังและมรดกที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับคนของพระองค์ (ข้อ 18)

เมื่อเราขอให้พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองกับเรา เราจะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นและสามารถประกาศพระนาม ฤทธานุภาพและอำนาจของพระองค์ด้วยความมั่นใจ (ข้อ 19-23) ด้วยความเชื่อในพระเยซูและความรักต่อคนของพระเจ้า เราสามารถดำเนินชีวิตในแบบที่พิสูจน์ถึงความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของพระองค์เมื่อเราขอให้พระองค์ทำให้ดวงตาในหัวใจของเราเปิดอยู่เสมอ

ผมเห็นพ่อแล้ว!

นักทัศนมาตรได้ช่วยหนูน้อยแอนเดรียสวัยสามขวบปรับแว่นตาคู่แรกของเขา เธอบอกแอนเดรียสว่า “ส่องกระจกสิคะ” แอนเดรียสมองไปที่เงาสะท้อนของตนในกระจก จากนั้นเขาหันไปหาพ่อด้วยรอยยิ้มแห่งความรักและความดีใจ แล้วพ่อของแอนเดรียสก็ค่อยๆเช็ดน้ำตาที่แก้มของลูกชายและถามว่า “ร้องไห้ทำไมลูก” แอนเดรียสโอบแขนรอบคอของพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว” เขาถอยออกมา เอียงคอและจ้องไปที่ตาพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว!”

ขณะที่เราศึกษาพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานดวงตาที่เราจะมองเห็นพระเยซูผู้ “ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” (คส.1:15) อย่างไรก็ตาม แม้การมองเห็นของเราจะชัดเจนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่เราเติบโตในความรู้ผ่านทางพระคัมภีร์ เรายังคงเห็นได้เพียงชั่วขณะเดียวของความยิ่งใหญ่อันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าก่อนที่จะถึงนิรันดร์กาล เมื่อเวลาในโลกนี้ของเราสิ้นสุดลงหรือเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาตามพระสัญญา เราจะเห็นพระองค์อย่างชัดเจน (1 คร.13:12)

เราจะไม่ต้องใช้แว่นตาพิเศษในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีนั้น เมื่อเราเห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้าและรู้จักพระองค์เหมือนที่ทรงรู้จักเราแต่ละคน ผู้เป็นสมาชิกในพระกายของพระคริสต์ที่พระองค์ทรงรัก คือคริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมเราด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรักที่เราจำเป็นต้องมี เพื่อที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคงจนกว่าเราจะได้จ้องมองไปที่องค์พระผู้ช่วยให้รอดที่รักและทรงพระชนม์อยู่ และกล่าวว่า “ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว พระเยซูเจ้าข้า ข้าพระองค์เห็นแล้ว!”

หัวใจแห่งผู้ให้

ในวันสุดท้ายของเราในวิสคอนซิน เพื่อนของฉันได้พาคินส์ลีลูกสาววัยสี่ขวบของเธอมากล่าวคำอำลา “หนูไม่อยากให้คุณย้าย” คินส์ลีบอก ฉันกอดเธอและมอบพัดที่มีภาพวาดด้วยมือซึ่งเป็นของสะสมของฉันกับเธอ “เมื่อหนูคิดถึงฉัน ใช้พัดนี้นะและจำไว้ว่าฉันรักหนู” คินส์ลีถามว่าเธอจะขอพัดเล่มอื่นได้ไหม เป็นพัดกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าของฉัน “เล่มนั้นพังแล้ว” ฉันบอก “ฉันอยากให้หนูได้รับพัดที่ดีที่สุด ของฉัน” ฉันไม่เสียใจที่ให้พัดเล่มโปรดของฉันกับคินส์ลี การได้เห็นเธอมีความสุขทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า หลังจากนั้นคินส์ลีบอกแม่ของเธอว่าเธอรู้สึกเศร้าเพราะฉันเก็บพัดที่พังไว้ พวกเขาจึงส่งพัดสีม่วงแฟนซีเล่มใหม่เอี่ยมมาให้ฉัน คินส์ลีรู้สึกมีความสุขอีกครั้งหลังจากมอบให้ฉันด้วยใจกว้างขวาง ฉันเองก็เช่นกัน

ในโลกที่ส่งเสริมความพึงพอใจในตนเองและการปกป้องตัวเองนี้ อาจทำให้เราถูกทดลองที่จะเก็บสะสมแทนที่จะใช้ชีวิตด้วยหัวใจแห่งการให้ อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์กล่าวว่าบุคคล “ยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง” (สภษ.11:24) วัฒนธรรมของเรานิยามความเจริญรุ่งเรืองว่าคือการมีมากขึ้นและมากขึ้น แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า “บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง” และ “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะได้รับการรดน้ำ” (ข้อ 25)

ความรักและพระเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่จำกัดของพระเจ้าจะเติมพลังใหม่ให้กับเราอย่างไม่ขาดสาย เราแต่ละคนจึงมีหัวใจของผู้ให้และสร้างวงจรการให้ที่ไม่รู้จักจบสิ้นได้ เพราะเรารู้จักพระเจ้าผู้ประทานสิ่งดีทุกอย่าง ผู้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยในการจัดเตรียมให้กับเราอย่างเหลือล้น

เป็นเหมือนพระเยซู

ในปี 2014 นักชีววิทยาจับม้าน้ำแคระสีส้มได้คู่หนึ่งในฟิลิปปินส์ พวกเขานำสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลนี้พร้อมกับส่วนหนึ่งของกัลปังหาสีส้มที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน กลับมายังสถาบันวิทยาศาสตร์แคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก นักวิทยาศาสตร์ต้องการรู้ว่าม้าน้ำแคระเกิดมาโดยมีสีที่เหมือนกับพ่อแม่หรือมีสีตามสภาพแวดล้อมของมัน เมื่อลูกม้าน้ำแคระถือกำเนิดจะมีสีน้ำตาลหม่น นักวิทยาศาสตร์ก็วางกัลปังหาสีม่วงไว้ในถังกักน้ำ ลูกน้อยที่พ่อแม่เป็นสีส้มก็เปลี่ยนสีตนเองเพื่อให้เข้ากับกัลปังหาสีม่วง เนื่องจากธรรมชาติของพวกมันเปราะบาง การอยู่รอดจึงขึ้นอยู่กับความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ในการปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม

การปรับตัวให้กลมกลืนเป็นกลไกการป้องกันตัวที่มีประโยชน์ในธรรมชาติ แต่พระเจ้าทรงเชื้อเชิญให้ทุกคนรับความรอดและโดดเด่นอยู่ในโลกนี้ด้วยการดำเนินชีวิตของเรา อัครทูตเปาโลเรียกร้องให้ผู้เชื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกๆ ด้านของชีวิต และนมัสการพระองค์โดยถวายตัวของเราเป็น “เครื่องบูชาที่มีชีวิต” (รม.12:1) เนื่องด้วยความอ่อนแอของเราในฐานะมนุษย์ที่รับผลจากบาป สุขภาพฝ่ายวิญญาณของเราในฐานะผู้เชื่อจึงขึ้นอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรง “เปลี่ยนแปลง” จิตใจของเราใหม่ และประทานกำลังแก่เราที่จะหลีกเลี่ยงการประพฤติ “ตามอย่างคนในยุคนี้” ที่ปฏิเสธพระเจ้าและยกย่องความบาป (ข้อ 2)

การปรับตัวให้กลมกลืนกับโลกหมายถึงการดำเนินชีวิตที่ตรงข้ามกับพระคัมภีร์ แต่โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงมีท่าทีและสำแดงความรักได้เหมือนอย่างพระเยซู!

ฤทธิ์เดชของพระคริสต์

ในปี 2013 มีผู้คนประมาณ 600 คนในสถานที่จริงที่คอยชมนักกายกรรม นิค วัลเล็นดา เดินไต่เชือกข้ามช่องเขากว้างราว 427 เมตรใกล้ๆแกรนด์แคนยอน วัลเล็นดาก้าวออกไปบนเชือกเคเบิลหนา 2 นิ้วและขอบคุณพระเยซูสำหรับภาพที่เขามองเห็นขณะที่กล้องติดศีรษะของเขาหันไปทางหุบเขาเบื้องล่าง เขาอธิษฐานและขอบคุณพระเยซูขณะเดินข้ามช่องเขานั้นไปอย่างสงบราวกับกำลังเดินเล่นอยู่บนทางเท้า เวลาที่ลมพัดแรงเขาจะหยุดและย่อตัวลง แล้วจึงยืดตัวยืนขึ้นปรับสมดุลร่างกายใหม่ และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้ “เชือกนิ่ง” ในแต่ละย่างก้าวบนเชือกนั้น เขาสำแดงถึงการพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมถึงทุกคนที่ดูอยู่ในเวลานี้ทางวีดิโอที่เผยแพร่ไปทั่วโลก

เมื่อลมพายุทำให้เกิดคลื่นซัดใส่เหล่าสาวกในทะเลกาลิลี พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัว (มก.4:35-38) หลังจากพระเยซูทรงห้ามพายุแล้ว พวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงควบคุมลมและทุกสิ่งทุกอย่าง (ข้อ 39-41) พวกเขาได้ค่อยๆเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระองค์ ประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาสามารถช่วยให้ผู้อื่นรู้จักฤทธิ์อำนาจที่ไม่ธรรมดาของพระเยซูและรู้ว่าทรงพร้อมที่จะช่วยเราเสมอ

ขณะที่เราเผชิญกับมรสุมแห่งชีวิต หรือไต่ไปตามเชือกแห่งความไว้วางใจที่พาดอยู่เหนือหุบเขาสูงชันแห่งความทุกข์ เราสามารถแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในฤทธิ์เดชของพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงใช้การดำเนินในความเชื่อของเราเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมีความหวังในพระองค์

พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อเป็นนิตย์

เมื่อซาเวียร์ยังเป็นเด็กประถมฉันขับรถไปรับส่งเขาที่โรงเรียน วันหนึ่งมีเรื่องที่ไม่เป็นตามแผนเกิดขึ้น ฉันไปรับเขาสาย เมื่อจอดรถฉันก็อธิษฐานอย่างลนลานขณะวิ่งไปที่ห้องเรียนของเขา ฉันพบเขากอดเป้และนั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆครู “แม่ขอโทษนะมิโจ ลูกไม่เป็นอะไรนะ” ลูกชายถอนหายใจ “ผมไม่เป็นไรครับ แต่ผมโกรธที่แม่มาสาย” ฉันจะว่าเขาได้อย่างไรในเมื่อฉันก็โกรธตัวเองเหมือนกัน ฉันรักลูกแต่ฉันรู้ว่ามีหลายครั้งทีเดียวที่ฉันทำให้เขาผิดหวัง และฉันรู้ด้วยว่าวันหนึ่งเขาอาจรู้สึกผิดหวังในพระเจ้าด้วย ดังนั้นฉันจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะสอนเขาว่า พระเจ้าไม่เคยผิดสัญญาและพระองค์จะไม่มีวันผิดสัญญา

สดุดี 33 หนุนใจเราให้เฉลิมฉลองความสัตย์ซื่อของพระเจ้าด้วยการสรรเสริญเปรมปรีดิ์ (ข้อ 1-3) เพราะ “พระวจนะของพระเจ้าเที่ยงธรรม และพระราชกิจของพระองค์ก็สำเร็จด้วยความซื่อสัตย์” (ข้อ 4) ผู้เขียนใช้โลกนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นหลักฐานอันชัดเจนถึงฤทธิ์อำนาจและความน่าเชื่อถือของพระองค์ (ข้อ 5-7) และเรียกร้องให้เราผู้เป็น “บรรดาชาวพิภพทั้งปวง” นมัสการพระเจ้า (ข้อ 8)

เมื่อแผนการเกิดผิดพลาดหรือมีคนทำให้เราผิดหวัง เราอาจถูกล่อลวงให้รู้สึกผิดหวังในพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เราสามารถวางใจในความน่าไว้วางใจของพระเจ้าเพราะแผนการพระองค์ “ตั้งมั่นคงเป็นนิตย์” (ข้อ 11) เราสรรเสริญพระเจ้าได้แม้ในเวลาที่มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะพระผู้สร้างผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักนั้นทรงค้ำชูทุกๆอย่างและทุกๆคน พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเป็นนิตย์

ต้องการพระคุณเป็นพิเศษ

ขณะที่เราตกแต่งสถานที่สำหรับจัดงานพิเศษที่คริสตจักร ผู้หญิงที่เป็นแม่งานก็บ่นไม่หยุดเรื่องที่ฉันไม่มีประสบการณ์ หลังจากที่เธอเดินออกไป ผู้หญิงอีกคนก็เดินเข้ามาหาฉันและพูดว่า “อย่าไปสนใจเธอเลย เธอคือบุคคลที่เราเรียกว่า E.G.R - Extra Grace Required (ต้องการพระคุณเป็นพิเศษ)”

ฉันหัวเราะ จากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มใช้ฉายาดังกล่าวกับใครก็ตามที่ฉันมีปัญหาด้วย หลายปีต่อมาฉันได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ E.G.R. ผู้นี้ที่คริสตจักรแห่งเดิม ศิษยาภิบาลเล่าว่าเธอเป็นคนที่รับใช้พระเจ้าอยู่เบื้องหลังและมีจิตใจโอบอ้อมอารี ฉันขอพระเจ้ายกโทษที่ไปตัดสินและนินทาเธอ รวมถึงใครก็ตามในอดีตที่ฉันเคยเรียกเขาว่า E.G.R ทั้งๆที่ตัวฉันเองนั่นแหละที่ต้องการพระคุณเป็นพิเศษมากพอๆกับผู้เชื่อคนอื่นๆ

ในเอเฟซัส 2 อัครทูตเปาโลกล่าวว่าผู้เชื่อทุกคน “ตามสันดาน...เป็นคนควรแก่พระอาชญา” (ข้อ 3) แต่พระเจ้าทรงประทานของประทานแห่งความรอดแก่เราทั้งหลายทั้งๆที่เราไม่สมควรได้รับ เป็นของประทานที่เราไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อจะได้มา “เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” (ข้อ 9) แม้แต่คนเดียว

เมื่อเรายอมจำนนต่อพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของการเดินทางแห่งชีวิตที่ยาวนาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยของเรา เพื่อเราจะสามารถสะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนต้องการพระคุณเป็นพิเศษ แต่เราสามารถขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่มีเพียงพออยู่เสมอ (2 คร.12:9)

เลียนแบบพระเยซู

“เจ้าแห่งการปลอมแปลง” อาศัยอยู่ในน่านน้ำของอินโดนีเซียและในแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ หมึกสายเลียนแบบนั้นเป็นเหมือนปลาหมึกอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนสีของมันให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดนี้ยังเปลี่ยนแปลงรูปร่าง รูปแบบการเคลื่อนไหว และพฤติกรรมของมันเมื่อถูกคุกคาม โดยจะเลียนแบบสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ปลาสิงโตมีพิษ และแม้แต่งูทะเลที่อันตรายถึงชีวิต

แต่ผู้เชื่อในพระเยซูนั้นไม่เหมือนกับหมึกสายเลียนแบบ เราต้องโดดเด่นในโลกที่รายล้อมเรา เราอาจรู้สึกถูกคุกคามจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเราและถูกทดลองให้ทำตัวกลมกลืน เพื่อเราจะไม่ถูกจดจำได้ว่าเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่อัครทูตเปาโลหนุนใจให้ถวายตัวของเราเป็น “เครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (รม.12:1) เพื่อเป็นตัวแทนของพระเยซูในทุกแง่มุมของชีวิตเรา

เพื่อนๆหรือคนในครอบครัวอาจพยายามกดดันให้เราประพฤติ “ตามอย่างคนในยุคนี้” (ข้อ 2) แต่เราแสดงให้เห็นได้ว่าเรารับใช้ใคร โดยปรับชีวิตเราให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราบอกว่าเราเชื่อในฐานะบุตรของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อฟังพระคัมภีร์และสะท้อนถึงพระลักษณะแห่งความรักของพระองค์ ชีวิตของเราจะแสดงให้เห็นได้ว่า รางวัลของการเชื่อฟังนั้นยิ่งใหญ่กว่าการสูญเสียใดๆเสมอ วันนี้คุณจะเลียนแบบพระเยซูอย่างไร

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา