ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

พระคริสต์ผู้เป็นความสว่างแท้ของเรา

“ไปที่ๆมีแสงสว่าง!” นั่นคือสิ่งที่สามีฉันแนะนำขณะที่เราพยายามหาทางออกจากโรงพยาบาลใหญ่ประจำเมืองในบ่ายวันอาทิตย์ไม่นานมานี้ เราไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อเราออกจากลิฟต์ เราไม่พบใครเลยที่จะบอกทางไปยังประตูหน้าซึ่งจะได้พบแสงแดดจ้าของรัฐโคโลราโด เราตระเวนไปตามโถงทางเดินที่เปิดไฟหรี่ ในที่สุดเราก็พบชายคนหนึ่งที่เห็นความสับสนของเรา “โถงทางเดินเหล่านี้ดูเหมือนกันหมด” เขาบอก “แต่ทางออกอยู่ทางนี้” จากคำแนะนำของเขา เราก็พบประตูทางออกซึ่งนำไปสู่แสงแดดจ้าจริงๆ

พระเยซูทรงเชื้อเชิญผู้ไม่เชื่อที่สับสนและหลงทางให้ติดตามพระองค์ออกจากความมืดฝ่ายวิญญาณ “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน.8:12) ในความสว่างของพระองค์นั้น เราสามารถเห็นสิ่งกีดขวาง บาปและจุดบอดต่างๆ โดยยอมให้พระองค์ขจัดความมืดนั้นออกจากชีวิตเราขณะเมื่อพระองค์ประทานความสว่างของพระองค์เข้าสู่จิตใจและวิถีของชีวิตเรา เช่นเดียวกับเสาเพลิงที่นำคนอิสราเอลผ่านถิ่นทุรกันดาร ความสว่างของพระคริสต์ก็นำการทรงสถิต การปกป้องและการทรงนำของพระเจ้ามาสู่เรา

ตามซึ่งยอห์นได้อธิบายไว้ พระเยซูทรงเป็น “ความสว่างแท้” (ยน.1:9) และ “ความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่” (ข้อ 5) แทนที่จะเดินสะเปะสะปะอย่างไร้จุดหมายไปตลอดชีวิต เราสามารถแสวงหาการนำทางจากพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงส่องสว่างในเส้นทางที่จะไปนั้น

ยอมที่จะไว้วางใจ

เมื่อเปิดม่านออกในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาว ฉันพบกับภาพอันน่าตกตะลึงของกำแพงหมอก หรือ “หมอกน้ำแข็ง” ตามที่ผู้พยากรณ์อากาศเรียก และหมอกนี้ยังมาพร้อมกับความประหลาดใจยิ่งกว่าซึ่งพบไม่บ่อยนักในพื้นที่ที่เราอยู่ คือการคาดการณ์ว่าจะมีท้องฟ้าสดใสและแสงแดด “ภายในอีกหนึ่งชั่วโมง” ฉันบอกกับสามีว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก เราแทบจะมองไม่เห็นอะไรในระยะหนึ่งฟุตข้างหน้าเลย” แต่แน่นอนภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หมอกนั้นจางหายไปและเกิดเป็นท้องฟ้าสีฟ้าที่สดใสด้วยแสงแดด

ขณะยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ฉันคิดถึงระดับของความไว้วางใจที่มีในยามที่ฉันเห็นแต่หมอกในชีวิต ฉันถามสามีว่า “ฉันไว้วางใจพระเจ้าเฉพาะในสิ่งที่ฉันมองเห็นเท่านั้นหรือ”

เมื่อกษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์และมีผู้นำที่ชั่วร้ายบางคนขึ้นมามีอำนาจในแผ่นดินยูดาห์ อิสยาห์ได้ถามคำถามที่คล้ายกันนี้คือ เราจะไว้วางใจใครได้ แล้วพระเจ้าทรงตอบด้วยการให้นิมิตพิเศษที่ทำให้ผู้เผยพระวจนะท่านนี้มั่นใจว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ในวันนี้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าที่รออยู่ข้างหน้า ขณะที่อิสยาห์สรรเสริญพระเจ้าว่า “ใจแน่วแน่นั้นพระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์” (อสย.26:3) ท่านได้กล่าวอีกว่า “จงวางใจในพระเจ้าเป็นนิตย์เพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลานิรันดร์” (ข้อ 4)

เมื่อความคิดของเราจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า เราจะสามารถไว้วางใจพระองค์ได้แม้ในเวลาที่มืดมัวและสับสน เราอาจเห็นได้ไม่ชัดเจนในตอนนี้ แต่ถ้าเราวางใจในพระเจ้า เราก็แน่ใจได้ว่าความช่วยเหลือของพระองค์กำลังจะมาถึงเรา

การกระทำด้วยใจเมตตาสงสาร

การสร้างม้านั่งไม่ใช่งานของเจมส์ วอร์เรน แต่เขาก็เริ่มสร้างมันขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในเดนเวอร์นั่งอยู่บนพื้นสกปรกขณะรอรถประจำทาง วอร์เรนรู้สึกเป็นห่วงว่ามันดู “ไร้เกียรติ” ด้วยเหตุนี้ที่ปรึกษาด้านแรงงานวัย 28 ปีผู้นี้จึงเอาเศษไม้มาทำม้านั่งและวางไว้ที่ป้ายรถประจำทาง มันถูกใช้งานแทบจะทันที เมื่อตระหนักว่าป้ายรถเมล์เก้าพันแห่งในเมืองของเขานั้นหลายแห่งไม่มีที่นั่ง เขาจึงสร้างม้านั่งขึ้นอีก จากนั้นก็ทำขึ้นอีกหลายตัว โดยเขียนคำอุทิศว่า “จงมีใจเมตตา” บนม้านั่งแต่ละตัวจุดประสงค์ของเขาคืออะไร วอร์เรนกล่าวว่า “เพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นในทุกทางที่ผมทำได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม”

ความเมตตาสงสารเป็นอีกคำอธิบายหนึ่งของการกระทำนี้ ความเมตตาตามแบบที่พระเยซูทรงสำแดงนั้น เป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งมากจนทำให้เราต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่น เมื่อฝูงชนที่สิ้นหวังติดตามพระเยซู “พระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” (มก.6:34) พระองค์ทรงเปลี่ยนความสงสารให้เป็นการกระทำโดย ทรงรักษาคนป่วยให้หาย (มธ.14:14)

เปาโลกระตุ้นเราเช่นกันว่าควร “สวม[ตัวเราด้วย]ใจเมตตา” (คส.3:12) ประโยชน์คืออะไร ดังที่วอร์เรนกล่าวว่า “มันเติมเต็มผม เป็นเหมือนกับการเติมลมยางรถของผม”

รอบตัวเราล้วนมีความต้องการมากมาย และพระเจ้าจะทรงนำสิ่งเหล่านี้มาสู่ความสนใจของเรา ความต้องการเหล่านั้นกระตุ้นความเมตตาในตัวเราไปสู่การกระทำ และการกระทำเหล่านั้นจะหนุนใจผู้อื่นเมื่อเราสำแดงความรักของพระคริสต์แก่พวกเขา

คริสตจักรนิรันดร์ของพระเจ้า

“โบสถ์เลิกแล้วหรือคะ” คุณแม่ยังสาวมาถึงคริสตจักรพร้อมกับลูกสองคน เมื่อการนมัสการวันอาทิตย์กำลังเลิกพอดี แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับบอกเธอว่าคริสตจักรใกล้ๆมีการนมัสการสองรอบ และรอบที่สองกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า เธออยากให้มีคนขับรถไปส่งที่นั่นไหม คุณแม่ยังสาวตอบรับและดูยินดีที่จะไปยังอีกคริสตจักรหนึ่งที่เลยไปไม่ไกล เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับมีข้อสรุปว่า “คริสตจักรเลิกแล้วหรือ ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น คริสตจักรของพระเจ้าจะดำเนินไปไม่มีวันสิ้นสุด”

คริสตจักรไม่ใช่ “อาคาร” ที่เสื่อมสลายได้ เปาโลบันทึกไว้ว่า คริสตจักรคือครอบครัวที่สัตย์ซื่อของพระเจ้า เป็น “ครอบครัวของพระเจ้า...ประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิทและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในพระองค์นั้นท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย” (อฟ.2:19-22)

พระเยซูเองได้ทรงสถาปนาคริสตจักรของพระองค์ให้เป็นอมตะ พระองค์ทรงประกาศว่าแม้คริสตจักรจะเผชิญกับความท้าทายและปัญหา แต่ “พลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้” (มธ.16:18)

โดยการมองผ่านแนวคิดที่พระเจ้าประทานให้เรานี้ เราสามารถมองเห็นว่าคริสตจักรท้องถิ่นซึ่งก็คือเราทั้งหลายนั้น เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากลของพระเจ้า คือถูกตั้งขึ้น “ในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์” (อฟ.3:21)

พลังแห่งความมุ่งมั่น

ในค.ศ. 1917 ช่างเย็บผ้าสาวรู้สึกตื่นเต้นที่โรงเรียนออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์กตอบรับให้เธอเข้าเรียน แต่เมื่อแอนน์ โลว์ โคน เดินทางจากฟลอริด้ามาเพื่อลงทะเบียนเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนบอกเธอว่าพวกเขาไม่ต้อนรับเธอ “พูดตามตรงเลยนะครับ คุณโคน พวกเราไม่ทราบมาก่อนว่าคุณเป็นนิโกร” เขาบอก แอนน์ไม่ยอมออกจากที่นั่น เธออธิษฐานเบาๆขอให้พวกเขายอมให้ฉันเรียนที่นี่เถอะ เมื่อผู้อำนวยการเห็นถึงความมุ่งมั่นนั้น เขาจึงให้แอนน์อยู่ แต่แยกเธอออกจากชั้นเรียนที่มีเฉพาะชาวผิวขาวโดยเปิดประตูหลังห้องทิ้งไว้ “ให้เธอได้ยิน”

ด้วยพรสวรรค์ที่มิอาจปฏิเสธ แอนน์จบการศึกษาก่อนกำหนดหกเดือนและเป็นที่สนอกสนใจของบรรดาลูกค้าชนชั้นสูง รวมถึงแจ็คเกอลีน เคนเนดี้อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกาผู้ที่แอนน์ออกแบบชุดแต่งงานที่มีชื่อเสียงระดับโลกให้ แอนน์ตัดชุดแต่งงานนั้นสองครั้งโดยขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าหลังจากที่ท่อประปาเหนือห้องเสื้อของเธอแตก ทำให้ชุดแรกนั้นเสียหาย

ความมุ่งมั่นเช่นนั้นทรงพลังโดยเฉพาะในคำอธิษฐาน ในคำอุปมาของพระเยซูเรื่องหญิงม่ายและผู้พิพากษา หญิงม่ายคนหนึ่งเฝ้ามาหาผู้พิพากษาทุจริตซ้ำๆเพื่อขอความยุติธรรม ในตอนแรกเขาปฏิเสธเธอ แต่ “เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะให้ความยุติธรรมแก่นาง” (ลก.18:5)

ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก “พระเจ้าจะไม่ทรงประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ” (ข้อ 7) พระเยซูตรัสว่าพระองค์จะทรงประทานให้ (ข้อ 8) ขณะที่พระองค์ทรงดลใจเรา ให้เราเพียรอ้อนวอนอย่างมุ่งมั่นและไม่อ่อนระอาใจ พระเจ้าจะทรงตอบในเวลาและวิธีการที่สมบูรณ์แบบของพระองค์

น้ำลึก

ในปี 1992 เมื่อบิล พิงค์เนย์แล่นเรือรอบโลกตามลำพัง โดยใช้เส้นทางที่ยากลำบากรอบเกรทเซาท์เทิร์นเคปที่เต็มไปด้วยอันตราย เขาทำเพื่อจุดมุ่งหมายที่เหนือกว่า การเดินทางของเขาก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้แก่เด็กๆ ซึ่งรวมถึงนักเรียนในโรงเรียนประถมใจกลางเมืองชิคาโกที่เขาเคยเรียนด้วย เป้าหมายของบิลก็เพื่อแสดงว่า พวกเขาจะไปได้ไกลเพียงใดด้วยการเรียนหนักและด้วยความทุ่มเท ซึ่งเป็นคำที่เขานำมาตั้งชื่อเรือ เมื่อบิลพาเด็กๆ ล่องเรือที่ชื่อความทุ่มเท เขาเล่าว่า “พวกเขาถือด้ามหางเสือเรือไว้ในมือ และเรียนรู้เรื่องการบังคับ การควบคุมตนเอง และการทำงานเป็นทีม...ซึ่งเป็นพื้นฐานทั้งหมดที่จำเป็นในชีวิตเพื่อจะประสบความสำเร็จ”

คำพูดของพิงค์เนย์บรรยายภาพสติปัญญาของซาโลมอน “ความประสงค์ในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้” (สภษ.20:5) พระองค์เชื้อเชิญคนอื่นๆให้สำรวจเป้าหมายชีวิตของตน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการ “วางกับดักตัวเองโดยหุนหันให้คำปฏิญาณว่าจะถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วค่อยมาคิดได้เมื่อสาบานไปแล้ว” (ข้อ 25 TNCV)

ในทางกลับกันพิงค์เนย์มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งในที่สุดก็เป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนสามหมื่นคนทั่วสหรัฐอเมริกาได้เรียนรู้จากการเดินทางของเขา เขากลายเป็นชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ได้รับการบรรจุชื่อไว้ในหอเกียรติยศการเดินเรือแห่งชาติ เขากล่าวไว้ว่า “เด็กๆกำลังดูอยู่” และด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน ให้เรากำหนดเส้นทางของเราผ่านคำปรึกษาที่ลึกซึ้งจากคำสอนที่พระเจ้าประทานแก่เรา

ทรงสร้างเราใหม่

ในฐานะนักธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ฌอน ไซเพลอไม่สบายใจกับคำถามประหลาดที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสบู่ที่ถูกทิ้งไว้ตามโรงแรม ในความคิดของเขา สบู่นับล้านก้อนที่ถูกทิ้งเป็นขยะน่าจะมีประโยชน์มากกว่านั้น เขาจึงเปิดตัวธุรกิจชื่อ ทำความสะอาดโลก ซึ่งเป็นธุรกิจรีไซเคิลที่ได้ช่วยโรงแรม เรือสำราญ และรีสอร์ทมากกว่าแปดพันแห่ง ในการเปลี่ยนสบู่ที่ถูกทิ้งหลายล้านปอนด์ให้เป็นสบู่ปลอดเชื้อและนำมาหล่อขึ้นใหม่ สบู่เหล่านี้ถูกส่งไปยังประชาชนผู้ยากไร้ในร้อยกว่าประเทศ และได้ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากปัญหาด้านสุขอนามัยได้เป็นจำนวนมาก

ไซเพลอกล่าวว่า “ผมรู้ว่ามันฟังดูตลก แต่สบู่ก้อนเล็กๆบนชั้นในห้องพักโรงแรมของคุณช่วยรักษาชีวิตได้จริงๆ” พระลักษณะแห่งความรักอย่างหนึ่งของพระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราคือ การรวบรวมสิ่งที่ใช้แล้วหรือสกปรกมามอบชีวิตใหม่ให้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว พระองค์ยังได้ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” (ยน.6:12)

ในชีวิตของเราเมื่อเรารู้สึก “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” พระเจ้าไม่ได้ทรงมองว่าเราเป็นชีวิตที่ไร้ประโยชน์แต่เป็นสิ่งอัศจรรย์ของพระองค์ ไม่มีวันถูกทิ้งขว้างในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะเรามีศักยภาพจากพระเจ้าสำหรับพันธกิจในอาณาจักรใหม่ “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2คร.5:17) สิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ ก็คือพระคริสต์ที่สถิตภายในเรา

สิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่

ฉันจะได้ไปแข่งในโอลิมปิกไหม นักว่ายน้ำของวิทยาลัยกังวลว่าความเร็วของเธอจะช้าเกินไป แต่เมื่อศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ เคน โอโนะศึกษาเทคนิคการว่ายน้ำของเธอ เขาเห็นวิธีที่เธอจะทำเวลาดีขึ้นได้ถึงหกวินาทีเต็มซึ่งสร้างความแตกต่างมากในการแข่งขันระดับนั้น เขาติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หลังของนักว่ายน้ำแต่ไม่ได้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ช่วยให้เธอทำเวลาได้ดีขึ้นในทางกลับกันโอโนะระบุมาตรการแก้ไขเล็กๆน้อยๆที่หากนำไปใช้ อาจทำให้นักว่ายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้นในน้ำ ทำให้เกิดความแตกต่างที่จะชนะได้

การแก้ไขเล็กๆน้อยๆฝ่ายวิญญาณสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน ผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์สอนหลักการคล้ายกันนี้ให้กับชาวยิวผู้อ่อนล้าที่หลงเหลืออยู่ และกำลังสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นใหม่พร้อมกับเศรุบบาเบล ภายหลังจากที่พวกเขาถูกเนรเทศ แต่พระเจ้าจอมโยธาตรัสกับเศรุบบาเบลว่า “มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยพระวิญญาณของเรา” (ศคย.4:6)

ดังที่เศคาริยาห์ประกาศว่า “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันนี้” (ข้อ 10 TNCV) ผู้ที่ถูกเนรเทศกังวลว่าพระนิเวศน์นี้จะไม่เท่าเทียมกับหลังที่สร้างในสมัยกษัตริย์ซาโลมอน แต่เหมือนที่นักว่ายน้ำของโอโนะทำได้ในการแข่งโอลิมปิก โดยพิชิตเหรียญมาได้เมื่อยอมต่อการแก้ไขเล็กๆน้อยๆ ผู้ที่ร่วมสร้างพระนิเวศน์กับเศรุบบาเบลได้เรียนรู้ว่า ความพยายามที่ถูกต้องแม้เพียงเล็กน้อยกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็นำมาซึ่งความปีติยินดีแห่งชัยชนะได้ หากการกระทำเล็กๆน้อยๆของเราถวายเกียรติแด่พระองค์ ในพระเจ้าสิ่งเล็กน้อยได้กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่

รู้จักโดยพระเจ้า

หลังจากพี่น้องสองคนต้องแยกจากกันด้วยการถูกรับไปอุปการะ การตรวจดีเอ็นเอช่วยให้พวกเขากลับมาเจอกันในเกือบยี่สิบปีให้หลัง เมื่อคีรอนส่งข้อความหาวินเซนต์ที่เขาเชื่อว่าเป็นน้องชายนั้น วินเซนต์นึกในใจว่า คนแปลกหน้าคนนี้คือใคร เมื่อคีรอนถามเขาถึงชื่อในตอนแรกเกิด เขาตอบทันทีว่า “ไทเลอร์” พวกเขาจึงรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน เขาเป็นที่จดจำจากชื่อของเขา!

เมื่อพิจารณาดูความสำคัญของชื่อจากเรื่องราวในวันอีสเตอร์นั้น มารีย์ชาวมักดาลามายังหลุมศพของพระคริสต์ และเธอร้องไห้เมื่อเห็นว่าพระศพของพระองค์หายไป พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” (ยน.20:15) แต่เธอจำพระองค์ไม่ได้ จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ “มารีย์” (ข้อ 16)

เมื่อได้ยินพระองค์เรียกชื่อ เธอ “หันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า ‘รับโบนี’ (ซึ่งแปลว่าอาจารย์)” (ข้อ 16) การตอบสนองของเธอแสดงถึงความชื่นชมยินดีที่ผู้เชื่อในพระเยซูรู้สึกในตอนเช้าวันอีสเตอร์ เมื่อระลึกได้ว่าพระคริสต์ผู้คืนพระชนม์ของเราได้ชนะความตายเพื่อคนทั้งปวง และทรงรู้จักเราแต่ละคนว่าเป็นลูกของพระเจ้า ดังที่พระองค์ตรัสกับมารีย์ “เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” (ข้อ 17)

ในจอร์เจีย พี่น้องที่ได้กลับมาเจอกันและผูกพันกันด้วยชื่อนี้สัญญาว่าจะ “พัฒนาความสัมพันธ์นี้ไปอีกขั้น” ในวันอีสเตอร์ เราสรรเสริญพระเยซูที่ได้เริ่มก้าวที่สำคัญที่สุด ในการฟื้นพระชนม์ขึ้นในความรักที่เสียสละ เพื่อคนที่พระองค์ทรงรู้ว่าเป็นของพระองค์ เพื่อคุณและฉัน พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา