ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย James Banks

ทุกอย่างขัดขวางฉัน

“เมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองร่ำรวยมาก แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะมีสักดอลล่าร์หนึ่งไหม” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐยูลิสซิส เอส.แกรนท์กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นในวันที่เขาถูกหุ้นส่วนธุรกิจฉ้อโกงเงินออมทั้งชีวิตไป หลายเดือนต่อมาแกรนท์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่รักษาไม่หาย ด้วยความกังวลในเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัว เขาจึงยอมรับข้อเสนอจากนักเขียนมาร์ค ทเวนในการตีพิมพ์บันทึกความทรงจำของเขา ซึ่งเขาเขียนเสร็จหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสียชีวิต

พระคัมภีร์บอกเราถึงอีกคนหนึ่งที่ต้องเผชิญความทุกข์อย่างแสนสาหัส ยาโคบเชื่อว่าโยเซฟบุตรชายของตน “ย่อยยับเสียแล้ว” โดย “สัตว์ร้ายกัดกินเขาเสียแล้ว” (ปฐก.37:33) ในเวลาต่อมาสิเมโอนบุตรชายก็ถูกจับไปเป็นเชลยในต่างแดน ขณะเดียวกันยาโคบกลัวว่าเบนยามินบุตรชายจะถูกพรากไปจากท่านเช่นกัน เมื่อรู้สึกหมดกำลัง ท่านร้องว่า “เราต้องทนความทุกข์เหล่านี้ทั้งหมด!” (42:36)

แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น ถ้ายาโคบจะรู้สักนิดว่าโยเซฟบุตรชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ และพระเจ้าทรงกระทำกิจอยู่ “เบื้องหลัง” เพื่อรื้อฟื้นครอบครัวของท่านขึ้นใหม่ เรื่องราวของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้ที่เราไว้วางใจได้ แม้เมื่อเรามองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ในสถานการณ์ของเรา

หนังสือบันทึกความทรงจำของแกรนท์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและครอบครัวของเขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นสิ่งนี้ แต่ภรรยาของเขาได้เห็น การมองเห็นของเรานั้นจำกัด แต่ไม่ใช่สำหรับพระเจ้า และโดยการมีพระเยซูเป็นความหวังของเรา “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา” (รม.8:31) ขอให้เราวางใจพระองค์ในวันนี้

ของขวัญแห่งกำลังใจ

“ผึ้งของคุณกำลังทิ้งรังไปแล้ว!” ภรรยาของผมโผล่หน้าเข้ามาที่ประตูและบอกข่าวที่ไม่มีคนเลี้ยงผึ้งคนไหนอยากได้ยิน ผมวิ่งออกไปเห็นผึ้งเป็นพันๆตัวกำลังบินออกจากรังไปยังยอดต้นสนสูงและจะไม่มีวันกลับมาอีก

ผมไม่ทันได้สังเกตอาการบางอย่างที่บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าผึ้งกำลังจะแยกรัง พายุที่เข้านานกว่าหนึ่งสัปดาห์ทำให้ผมไม่ได้ไปตรวจดู พอถึงเช้าวันที่พายุสิ้นสุดลงผึ้งก็จากไป รังผึ้งนี้เป็นครอบครัวใหม่และแข็งแรง อันที่จริงพวกมันกำลังแยกครอบครัวเพื่อจะสร้างรังใหม่ “อย่าโทษตัวเองเลย” คนเลี้ยงผึ้งที่มีประสบการณ์คนหนึ่งบอกผมอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นความผิดหวังของผม “เรื่องนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน!”

การให้กำลังใจเป็นของขวัญอันล้ำค่า เมื่อดาวิดท้อแท้เพราะถูกซาอูลตามฆ่า โยนาธานซึ่งเป็นบุตรชายของซาอูลได้ให้กำลังใจดาวิดว่า “อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาเธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย” (1ซมอ.23:17)

ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นคำพูดอันน่าทึ่งที่แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัวของบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งที่สองรองจากราชบัลลังก์ น่าจะเป็นเพราะโยนาธานรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับดาวิด ท่านจึงพูดออกมาจากใจที่ถ่อมและเปี่ยมด้วยความเชื่อ

รอบตัวเรามีแต่ผู้คนที่ต้องการกำลังใจ พระเจ้าจะช่วยเราให้ช่วยพวกเขา เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระองค์และขอให้พระองค์รักเขาเหล่านั้นผ่านทางเรา

ความหวังที่เหนือกว่าผลที่ตามมา

คุณเคยทำอะไรด้วยความโกรธที่คุณรู้สึกเสียใจในภายหลังไหม ตอนที่ลูกชายผมกำลังต่อสู้กับการติดยา ผมตอบโต้การเลือกของเขาด้วยคำพูดที่เกรี้ยวกราด ความโกรธของผมมีแต่จะทำให้เขาท้อใจมากขึ้น แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบกับเหล่าผู้เชื่อที่พูดถ้อยคำที่ให้ชีวิตและความหวังแก่เขา และในไม่ช้าเขาก็เป็นอิสระ

แม้แต่คนที่เป็นแบบอย่างในความเชื่ออย่างโมเสส ก็ได้ทำสิ่งที่ท่านเสียใจในภายหลัง เมื่อคนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดารและขาดแคลนน้ำ พวกเขาบ่นอย่างขมขื่น พระเจ้าจึงให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงกับโมเสสและอาโรนว่า “บอกต่อหินหน้าประชาชนให้หินหลั่งน้ำ” (กดว.20:8) แต่โมเสสตอบโต้ด้วยความโกรธ โดยยกตนเองและอาโรนในเรื่องการอัศจรรย์นี้แทนที่จะยกย่องพระเจ้าว่า “เจ้าผู้กบฏจงฟัง ณ บัดนี้จะให้เราเอาน้ำออกจากหินนี้ให้พวกเจ้าดื่มหรือ” (ข้อ 10) และในทันทีนั้นท่านก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าโดยตรง แล้ว “โมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า” (ข้อ 11)

แม้ว่าน้ำจะไหลออกมา แต่ก็มีผลที่ตามมาซึ่งน่าเศร้า ทั้งโมเสสและอาโรนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญากับประชากรของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงพระเมตตา โดยทรงให้โมเสสมองเห็นแต่ไกล (27:12-13)

เช่นเดียวกับโมเสส พระเจ้ายังทรงพระเมตตาต่อเราในถิ่นทุรกันดารแห่งการที่เราไม่เชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงพระกรุณาประทานการอภัยและความหวังแก่เรา ผ่านการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซู ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรลงไป หากเราหันไปหาพระองค์ พระองค์จะทรงนำเราไปสู่ชีวิต

สวนของพระเจ้า

สิ่งเตือนใจถึงความงดงามและช่วงเวลาแสนสั้นของชีวิตนั้นเจริญเติบโตอยู่หน้าประตูบ้านของผม ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาภรรยาผมปลูกเถาดอกชมจันทร์ ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะมันออกดอกบานทรงกลมสีขาวขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เต็มดวง แต่ละดอกบานแค่คืนเดียวและจะเหี่ยวเฉาไปในแสงอาทิตย์ของเช้าวันถัดไปโดยไม่บานอีกเลย แต่ต้นของมันมีดอกดกและทุกเย็นจะเผยให้เห็นขบวนแห่ของบรรดาดอกไม้ที่เพิ่งผลิบาน เราชอบมองดูมันขณะเดินเข้าออกบ้านทุกวัน และได้แต่รอดูว่าความงามใหม่ๆแบบใดที่รอต้อนรับเมื่อเรากลับมา

ดอกไม้อันแสนบอบบางเหล่านี้ทำให้นึกถึงความจริงที่สำคัญในพระคัมภีร์ อัครทูตเปโตรยกข้อความของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่เขียนว่า “ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากพันธุ์มตะ แต่จากพันธุ์อมตะ คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่ เพราะว่าบรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้า และบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป” (1ปต.1:23-24) แต่ท่านยืนยันกับเราว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์เป็นนิตย์! (ข้อ 25)

เช่นเดียวกับดอกไม้ในสวน ชีวิตของเราในโลกนี้ช่างสั้นนักเมื่อเทียบกับนิรันดร์กาล แต่พระเจ้าทรงให้มีความงดงามในช่วงชีวิตอันแสนสั้นของเรา โดยข่าวประเสริฐของพระเยซูเราจึงได้เริ่มต้นอย่างสดใหม่กับพระเจ้า และวางใจในพระสัญญาถึงชีวิตที่ไร้ข้อจำกัดภายใต้การทรงสถิตด้วยความรักของพระองค์เมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ของโลกกลายเป็นเพียงความทรงจำ เราก็จะยังคงสรรเสริญพระองค์เรื่อยไป

ความหวังที่ยึดไว้

หนูรู้ว่าพ่อกำลังกลับบ้านเพราะพ่อส่งดอกไม้มาให้หนู” นั่นคือคำพูดของพี่สาววัยเจ็ดขวบที่บอกกับแม่ของเราเมื่อพ่อหายตัวไปในปฏิบัติการช่วงสงคราม ก่อนที่พ่อจะไปทำภารกิจ ท่านสั่งดอกไม้ไว้ล่วงหน้าสำหรับวันเกิดของพี่สาวผม และดอกไม้เหล่านั้นมาถึงช่วงที่ท่านหายตัวไป แต่เธอพูดถูก พ่อได้กลับบ้านหลังจากสถานการณ์การต่อสู้ที่ทำร้ายจิตใจ หลายสิบปีต่อมาเธอยังคงเก็บแจกันที่ใส่ดอกไม้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ยึดมั่นในความหวังเสมอ

บางครั้งการยึดมั่นในความหวังไม่ใช่เรื่องง่ายในโลกที่แตกสลายเต็มไปด้วยบาปนี้ พ่อไม่ได้กลับบ้านทุกครั้งไป และความปรารถนาของลูกบางครั้งก็ไม่บรรลุผล แต่พระเจ้าประทานความหวังในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ในสงครามอีกช่วงเวลาหนึ่ง ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกทำนายถึงการรุกรานยูดาห์โดยพวกบาบิโลน (ฮบก.1:6; ดู 2 พกษ.24) แต่ท่านยังคงยืนยันว่าพระเจ้าทรงดีพร้อมทุกเวลา (ฮบก.1:12-13) โดยระลึกถึงพระกรุณาที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์ในอดีต ท่านประกาศว่า “แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบานหรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า” (3:17-18)

นักวิชาการพระคัมภีร์บางคนเชื่อว่าชื่อฮาบากุกแปลว่า “ยึดมั่น” เรายึดพระเจ้าเป็นความหวังและความชื่นชมยินดีสูงสุดของเราได้ แม้อยู่ท่ามกลางการทดลอง เพราะพระองค์ทรงยึดเราไว้มั่นและจะไม่มีวันปล่อยเราไป

การซุบซิบนินทา

หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเพ็พได้คร่าชีวิตแมวของภรรยาท่านผู้ว่าฯ แต่มันไม่จริง สิ่งเดียวที่เพ็พทำที่ถือเป็นความผิดคือการกัดโซฟาที่คฤหาสน์ของท่านผู้ว่าฯ เพ็พเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ ที่อายุยังน้อยและมีนิสัยขี้เล่น เจ้าของเพ็พคือกิฟฟอร์ด พินโช ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียในช่วงทศวรรษ 1920 เจ้าสุนัขนี้ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำแห่งรัฐทางภาคตะวันออก ถูกถ่ายรูปใบหน้าพร้อมกับมีหมายเลขประจำตัวนักโทษ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้ยินเรื่องนี้ เขาแต่งเรื่องแมวขึ้นมา และเพราะรายงานข่าวของเขาปรากฏในหนังสือพิมพ์ หลายคนจึงเชื่อว่าเพ็พฆ่าแมวจริงๆ

กษัตริย์ซาโลมอนแห่งอิสราเอลทรงทราบดีถึงพลังของการให้ข้อมูลที่ผิด พระองค์บันทึกไว้ว่า “ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อย มันล่วงเข้าไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย” (สภษ.18:8) บางครั้งธรรมชาติของมนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาปเป็นสาเหตุทำให้เราอยากจะเชื่อเรื่องที่ไม่จริงเกี่ยวกับคนอื่น

แต่ถึงแม้คนอื่นจะเชื่อเรื่องเท็จเกี่ยวกับเรา พระเจ้ายังคงสามารถใช้เราเพื่อการดีได้ แท้จริงแล้ว ท่านผู้ว่าฯส่งเพ็พไปที่คุกเพื่อให้มันเป็นเพื่อนกับผู้ต้องขังที่นั่น เพ็พได้เป็นสุนัขเพื่อการบำบัดตัวแรกและทำหน้าที่นั้นอยู่หลายปี

พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรานั้นมั่นคง ไม่ว่าคนอื่นจะพูดหรือคิดอย่างไร เมื่อมีคนนินทาเรา ขอให้ระลึกไว้ว่าความคิดและความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรานั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด

จดจำที่จะสรรเสริญ

เมื่อตอนที่สมาชิกคริสตจักรของเราสร้างอาคารหลังแรก พวกเขาเขียนคำขอบคุณเป็นที่ระลึกไว้บนโครงคร่าวผนังและพื้นคอนกรีตก่อนที่งานภายในจะเสร็จสมบูรณ์ ถ้ารื้อผนังเบาออกคุณจะเห็นข้อความเหล่านั้นบนโครงคร่าว ข้อพระคัมภีร์หลายต่อหลายข้อถูกเขียนไว้ข้างๆคำอธิษฐานสรรเสริญเช่น “พระองค์ประเสริฐยิ่งนัก” เราปล่อยให้ข้อความเหล่านั้นอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยานแก่คนรุ่นหลังว่า ถึงแม้เราจะมีปัญหาแต่พระเจ้าทรงเมตตาและดูแลพวกเรา

เราต้องจดจำถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเราและบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รู้ อิสยาห์ทำเป็นตัวอย่างเมื่อท่านบันทึกว่า “ข้าพเจ้าจะกล่าวให้คิดถึงความรักมั่นคงแห่งพระเจ้า บรรดากิจการอันน่าสรรเสริญของพระเจ้า ตามบรรดาซึ่งพระเจ้าประทานแก่พวกเรา” (อสย.63:7) ต่อมาผู้เผยพระวจนะยังได้เล่าถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ตลอดเวลาที่ผ่านมา กระทั่งบอกว่า “พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเขา” (ข้อ 9) แต่ถ้าคุณอ่านพระวจนะต่อไป คุณจะสังเกตเห็นว่าอิสราเอลตกอยู่ในความยากลำบากอีกครั้ง และผู้เผยพระวจนะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

การระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าในอดีตจะช่วยเราในเวลาที่เกิดปัญหา ฤดูกาลแห่งความยากลำบากผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ความสัตย์ซื่อของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อเราหันมาหาพระองค์ด้วยหัวใจกตัญญูในสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงทำ เราจะค้นพบอีกครั้งว่าพระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญจากเราเสมอ

พี่เซาโล

“พระองค์เจ้าข้า โปรดส่งข้าพระองค์ไปที่ใดก็ได้ยกเว้นที่นั่น” นั่นคือคำอธิษฐานของผมตอนเป็นวัยรุ่น ก่อนที่จะยื่นเรื่องไปเรียนต่างแดนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนหนึ่งปี ผมไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน แต่รู้ว่าไม่อยากไปที่ไหน ผมพูดภาษาของประเทศนั้นไม่ได้ และใจของผมเต็มไปด้วยอคติต่อประเพณีและผู้คนที่นั่น ดังนั้นผมจึงขอให้พระเจ้าทรงส่งผมไปที่อื่น

แต่โดยพระปัญญาอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้า พระองค์ทรงส่งผมมายังสถานที่ที่ผมขอว่าจะไม่ไป ซึ่งผมดีใจมากที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น! เพราะสี่สิบปีต่อมา ผมยังมีเพื่อนๆที่รักในดินแดนนั้น เมื่อผมแต่งงาน สเตฟานเพื่อนเจ้าบ่าวก็มาจากที่นั่น เมื่อเขาแต่งงาน ผมก็บินไปที่นั่นเพื่อเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เขา และเรากำลังวางแผนการที่จะไปเยือนอีกครั้งในเร็วๆนี้

สิ่งสวยงามเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลง! การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงให้เห็นด้วยคำพูดแค่สองคำ “พี่เซาโล” (กจ.9:17)

คำพูดนั้นมาจากอานาเนีย ผู้เชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกให้รักษาตาของเซาโลทันทีหลังจากที่ท่านกลับใจ (ข้อ 10-12) อานาเนียขัดขืนในตอนแรก เพราะการกระทำรุนแรงของเซาโลในอดีต โดยทูลอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์” (ข้อ 13)

แต่อานาเนียเชื่อฟังและเดินทางไป และเพราะเขาเปลี่ยนแปลงจิตใจ อานาเนียได้พี่ชายคนใหม่ในความเชื่อ เซาโลกลายเป็นที่รู้จักในนามเปาโล และข่าวประเสริฐของพระเยซูก็แพร่ออกไปด้วยฤทธิ์เดช โดยพระองค์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นเป็นไปได้เสมอ!

นิ่งสงบต่อพระพักตร์พระเจ้า

ภาพถ่ายภาพแรกที่เป็นรูปบุคคลนั้นถ่ายโดยหลุยส์ ดิแกร์ในปีค.ศ. 1838 ในภาพมีเพียงชายคนเดียวบนถนนที่ว่างเปล่าในกรุงปารีสยามบ่าย แต่ภาพนั้นดูมีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ ถนนและทางเท้าควรจะพลุกพล่านไปด้วยการจราจรของรถม้าและผู้คนที่เดินไปมาในช่วงเวลานั้นของวัน แต่กลับไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านั้นได้

ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีผู้คนและม้ามากมายอยู่ที่นั่นบนถนนบูเลอวาร์ด ดู เทมเปิลอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ใช้ถ่ายภาพนี้ สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่ไม่ได้ปรากฏขึ้นบนภาพ เวลาในการเปิดรับแสงของกระบวนการถ่ายภาพ(ที่เรียกว่าดิแกโรไทป์) ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดนาทีเพื่อบันทึกภาพ ซึ่งทุกสิ่งจำเป็นต้องหยุดนิ่งในระหว่างนั้น การที่มีเพียงชายบนทางเท้าคนเดียวที่ปรากฏบนภาพนั้น ก็เพราะเขาเป็นสิ่งเดียวที่ยืนนิ่ง เขากำลังยืนให้คนขัดรองเท้าบูทให้

บางครั้งการนิ่งสงบก็ทำให้เกิดความสำเร็จขณะที่การเคลื่อนไหวและความพยายามไม่สามารถทำได้ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ในพระธรรมสดุดี 46:10 ว่า “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” แม้เมื่อประชาชาติ “อลหม่าน” (ข้อ 6) และ “แผ่นดินโลก” สั่นไหว (ข้อ 2) ผู้ที่วางใจในพระเจ้าด้วยความนิ่งสงบจะค้นพบพระองค์ ผู้ทรงเป็น “ความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” (ข้อ 1)

ในภาษาฮีบรูคำว่า “นิ่งสงบ” สามารถแปลอีกแบบหนึ่งว่า “หยุดดิ้นรน” เมื่อเราพักพิงในพระเจ้าแทนที่จะพึ่งพาความพยายามที่มีขีดจำกัดของเรา เราจะพบว่าพระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและกำลัง” (ข้อ 1) ของเราที่ไม่มีสิ่งใดจะโจมตีได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา