ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Anne Cetas

อย่ากลัวเลย

ไลนัสในการ์ตูนเรื่องพีนัทส์ เป็นที่รู้จักกันดีจากผ้าห่มนิรภัยผืนสีน้ำเงินที่เขาพกติดตัวไปทุกที่ และไม่อายที่ต้องใช้มันเพื่อความอุ่นใจ ลูซี่พี่สาวของเขาไม่ชอบผ้าห่มผืนนี้เอามากๆ และพยายามกำจัดมันอยู่บ่อยๆ เธอเอามันไปฝัง ทำเป็นว่าว และนำไปใช้ในการจัดนิทรรศการวิทยาศาสตร์ ไลนัสเองก็รู้ว่าเขาควรจะพึ่งพาผ้าห่มของเขาให้น้อยลงและปล่อยมันไปบ้างในบางครั้งแต่ก็เอามันกลับมาเสมอ

ในภาพยนตร์เรื่องคริสต์มาสของชาร์ลี บราวน์ เมื่อชาร์ลี บราวน์ผู้ผิดหวังถามว่า “ไม่มีใครรู้เลยหรือว่าคริสต์มาสเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร” ไลนัสซึ่งถือผ้าห่มนิรภัยไว้ในมือ ก้าวออกไปกลางเวที พร้อมกับท่องข้อพระคัมภีร์ลูกา 2:8-14 เมื่อมาถึงประโยคที่บอกว่า “อย่ากลัวเลย” เขาก็วางผ้าห่มลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายึดไว้เวลาที่เกิดความกลัว

มีสิ่งใดเกี่ยวกับคริสต์มาสที่เตือนเราว่าเราไม่จำเป็นต้องกลัว ทูตสวรรค์ที่ปรากฏต่อผู้เลี้ยงแกะกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย...พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย...มาบังเกิด” (ลก.2:10-11)

พระเยซูทรงเป็น “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” (มธ.1:23) พระองค์สถิตกับเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระผู้ปลอบโยนที่แท้จริง (ยน.14:16) ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องกลัว เราสามารถวาง “ผ้าห่มนิรภัย” ลง และไว้วางใจในพระองค์ได้

พระเจ้าทรงเยียวยาความแตกสลายของเรา

คอลลินกับจอร์แดนภรรยาของเขาเดินทั่วร้านขายงานฝีมือเพื่อหารูปภาพที่จะนำมาแขวนที่บ้าน คอลลินคิดว่าเขาเจอชิ้นที่ใช่แล้วจึงเรียกจอร์แดนมาดู ด้านขวาของงานศิลปะเซรามิกชิ้นนี้มีคำว่าพระคุณ แต่ด้านซ้ายมีรอยแตกยาวสองรอย “มันแตกนี่นา!” จอร์แดนพูดขณะเริ่มมองหาชิ้นที่ไม่แตกบนชั้นวาง แต่คอลลินพูดว่า “ไม่ใช่ นั่นแหละคือประเด็น พวกเราแตกสลายแต่แล้วพระคุณก็มาถึง” พวกเขาตัดสินใจซื้อผลงานที่มีรอยแตก เมื่อนำมาจ่ายเงิน พนักงานอุทานว่า “ไม่นะ มันแตกนี่!” “ใช่แล้ว เหมือนกับเรา” จอร์แดนกระซิบ

การเป็นคนที่ “แตกสลาย” หมายความว่าอย่างไร มีคนนิยามไว้ว่า คือการตระหนักอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าเราจะพยายามสักเท่าใด ความสามารถในการทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปกลับแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น มันคือการตระหนักว่าเราต้องการพระเจ้าและการแทรกแซงของพระองค์ในชีวิตของเรา

อัครทูตเปาโลพูดถึงการแตกสลายของเราในแง่ของการ “ตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป[ของเรา]” (อฟ.2:1) ความจำเป็นที่เราต้องรับการยกโทษและการเปลี่ยนแปลงได้รับคำตอบในข้อ 4 และ 5 “แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวงซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น... พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่... (ซึ่ง[เรา]รอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ)”

พระเจ้าทรงปรารถนาจะเยียวยาความแตกสลายของเราด้วยพระคุณของพระองค์เมื่อเรายอมรับว่า “ข้าพระองค์แตกสลาย”

ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ขณะเล่นบาสเก็ตบอลอยู่กับพวกเพื่อนผู้หญิง แอมเบอร์คิดขึ้นมาได้ว่าชุมชนของเธอน่าจะได้ประโยชน์จากกลุ่มผู้หญิงนี้ เธอจึงก่อตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อสนับสนุนการร่วมงานเป็นทีมและเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ บรรดาผู้นำของกลุ่มที่ชื่อสตรีชู้ตห่วงนี้ มุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจและคุณลักษณะที่ดีในผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และเพื่อหนุนใจให้พวกเขาเป็นผู้ให้ที่มีคุณค่าต่อชุมชนของตน หนึ่งในผู้เล่นของทีมรุ่นแรกซึ่งตอนนี้กลายเป็นพี่เลี้ยงของผู้เล่นใหม่ได้กล่าวไว้ว่า “มิตรภาพอันแน่นแฟ้นท่ามกลางเรานี้ เป็นสิ่งที่ฉันคิดถึงอยู่เสมอ เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหลายด้าน ฉันปรารถนาจะเห็นเด็กสาวเหล่านี้ประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้น”

พระเจ้าทรงปรารถนาเช่นกันที่จะให้คนของพระองค์รวมตัวกันเป็นทีมเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อัครทูตเปาโลหนุนใจชาวเธสะโลนิกาให้ “หนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น” (1 ธส.5:11) พระเจ้าทรงนำเราเข้ามาสู่ครอบครัวแห่งประชากรของพระองค์ เพื่อพวกเขาจะเป็นความช่วยเหลือในชีวิตของเรา เราต้องการซึ่งกันและกันเพื่อจะเดินไปบนเส้นทางชีวิตในพระคริสต์ บางครั้งนั่นอาจหมายถึงการฟังคนอื่นที่กำลังทุกข์ยาก การหยิบยื่นความช่วยเหลือที่จำเป็น หรือการพูดหนุนใจสั้นๆ เราสามารถเฉลิมฉลองความสำเร็จต่างๆ ทูลอธิษฐานขอกำลังในยามลำบาก หรือหนุนใจซึ่งกันและกันให้เติบโตขึ้นในความเชื่อ และในทุกสิ่งนั้นเราสามารถ “หาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง” (ข้อ 15)

เราสามารถชื่นชมกับสัมพันธภาพที่ดีเช่นนี้ เมื่อเราเข้าร่วมทีมกับผู้เชื่อในพระเยซูเพื่อจะไว้วางใจในพระเจ้าร่วมกัน!

ไม่มีความเข้าใจผิด

อเล็กซ่า สิริ หรือผู้ช่วยที่รับคำสั่งด้วยเสียงซึ่งอยู่ในเครื่องใช้อัจฉริยะในบ้านของเราบางครั้งก็เข้าใจผิดในสิ่งที่เราพูด เด็กหญิงวัยหกขวบคุยกับเครื่องใช้อัจฉริยะใหม่ในบ้านของเธอเรื่องคุกกี้และบ้านตุ๊กตา ต่อมาแม่ของเธอได้รับอีเมลว่าคำสั่งซื้อคุกกี้ 3 กิโลกรัมและบ้านตุ๊กตาราคา 5,400 บาทกำลังจะมาส่งที่บ้าน แม้แต่นกแก้วพูดได้ในลอนดอนที่เจ้าของไม่เคยซื้อของออนไลน์ ยังสามารถสั่งซื้อชุดกล่องของขวัญสีทองได้โดยที่เจ้าของไม่รู้ มีคนหนึ่งบอกให้อุปกรณ์ “เปิดไฟในห้องนั่งเล่น” แต่มันตอบว่า “ไม่มีห้องพุดดิ้ง”

การเข้าใจผิดแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระเจ้าเมื่อเราทูลต่อพระองค์ พระองค์ไม่เคยสับสนเพราะทรงรู้จักใจของเราดีกว่าตัวเราเอง พระวิญญาณทรงชันสูตรใจเราและทรงทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า อัครทูตเปาโลบอกกับคริสตจักรในกรุงโรมว่า พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงกระทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ คือการทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่และเป็นเหมือนพระบุตรมากยิ่งขึ้น (รม.8:28-29) แม้ในขณะที่ “เราอ่อนกำลัง” เราไม่รู้ว่าเราต้องการสิ่งใดเพื่อจะเติบโต พระวิญญาณก็ทรงอธิษฐานแทนเราตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (ข้อ 26-27)

คุณมีปัญหาในการแสดงความรู้สึกต่อพระเจ้าอยู่หรือไม่ ไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรและอย่างไรใช่ไหม จงพูดสิ่งที่อยู่ในใจคุณ พระวิญญาณทรงเข้าใจและจะทรงทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ

ธรรมชาติที่แท้จริงของความรัก

ในระหว่างการระบาดใหญ่ที่ต้องปิดเมือง เจอรี่ถูกบังคับให้ปิดศูนย์ออกกำลังกายซึ่งทำให้เขาขาดรายได้หลายเดือน วันหนึ่งเขาได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่ขอให้เขามาพบที่ศูนย์ตอน 6 โมงเย็น เจอรี่ไม่แน่ใจว่าเพื่ออะไรแต่เขาก็ไปตามนัด ไม่นานก็มีรถหลายคันเคลื่อนเข้ามาในลานจอดรถ คนขับรถคันแรกเอาตะกร้ามาวางไว้ที่ทางเท้าใกล้ๆตัวอาคาร จากนั้นรถทีละคันค่อยๆขับเข้ามา (ประมาณ 50 คัน) คนในรถต่างโบกมือหรือตะโกนทักทาย ทุกคันหยุดที่ตะกร้าและหย่อนการ์ดหรือเงินลงไป บางคนเสียสละเงินของพวกเขา แต่ทุกคนสละเวลาเพื่อจะให้กำลังใจเจอรี่

ธรรมชาติที่แท้จริงของความรักคือการเสียสละตามที่อัครทูตเปาโลได้กล่าวว่า ท่านได้เล่าให้ชาวโครินธ์ฟังว่าชาวมาซิโดเนียได้ถวาย “เกินความสามารถของเขา” เพื่อช่วยเหลือเหล่าอัครทูตและคนอื่นๆ (2 คร.8:3) พวกเขายังได้ “วิงวอน” ต่อเปาโลเพื่อจะมีโอกาสถวายให้กับชาวโครินธ์และคนของพระเจ้าอีกด้วย รากฐานแห่งการถวายของพวกเขามาจากหัวใจที่เสียสละของพระเยซู พระองค์ทรงยอมละทิ้งความมั่งคั่งบนสวรรค์ลงมาบนโลกเพื่อเป็นผู้รับใช้และยอมสละพระชนม์ของพระองค์ “แม้พระองค์มั่งคั่งก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ [เรา]ทั้งหลาย” (ข้อ 9)

เช่นเดียวกับชาวมาซิโดเนีย ให้เรา “วิงวอน” ต่อพระเจ้า เพื่อที่เราจะสามารถ “ประกอบการกุศลนี้อย่างบริบูรณ์” (ข้อ 7) เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรัก

ฟังและเรียนรู้

เจ้าของบ้านที่อยู่บนถนนฝั่งหนึ่งตั้งโชว์นกอินทรีย์หัวล้านแบบเป่าลมขนาดใหญ่และคลุมด้วยธงชาติอเมริกาไว้ที่สนามหญ้า มีรถบรรทุกคันใหญ่จอดอยู่ที่ทางเข้าบ้าน กระจกด้านข้างรถทาสีเป็นรูปธงชาติและกันชนด้านหลังมีสติ้กเกอร์รักชาติติดอยู่ ที่สนามของบ้านฝั่งตรงข้ามมีป้ายที่เขียนเน้นคำคมจากประเด็นข่าวในเรื่องความเป็นธรรมในสังคม

เราอาจสงสัยว่า สองบ้านนี้เป็นเพื่อนกันหรือเป็นศัตรูกันนะ เป็นไปได้ไหมที่ทั้งสองครอบครัวเป็นผู้เชื่อในพระเยซู พระเจ้าทรงเรียกให้เราดำเนินชีวิตตามข้อพระคำในยากอบ 1:19 “ให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” บ่อยครั้งเหลือเกินที่เรายึดถือความคิดเห็นของตัวเองอย่างดื้อดึงและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ของแมทธิว เฮนรี่ กล่าวว่า “เราควรไวในการฟังเหตุผลและความจริงจากทุกด้าน ช้าในการพูด...และเมื่อเราพูด ไม่ควรมีความโกรธอยู่ในนั้น”

มีบางคนกล่าวว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการฟัง” พระวจนะของพระเจ้าในพระธรรมยากอบจะสำเร็จได้เมื่อเราเต็มไปด้วยพระวิญญาณแห่งความรักของพระเจ้าและเลือกที่จะเคารพผู้อื่น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงจิตใจและท่าทีของเรา แล้วเราพร้อมที่จะเปิดใจฟังและเรียนรู้หรือเปล่า

ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

หมอหลายคนบอกรีเบคก้าและรัสเซลว่าพวกเขาจะไม่สามารถมีลูกได้ แต่พระเจ้าไม่ทรงคิดเช่นนั้น สิบปีต่อมารีเบคก้าตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์เป็นได้ด้วยดี และเมื่อรีเบคก้าเริ่มเจ็บท้องทั้งคู่รีบไปโรงพยาบาลด้วยความตื่นเต้นรีเบคก้าเจ็บท้องอยู่หลายชั่วโมงและเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายของเธอก็ยังไม่พร้อมสำหรับการคลอด ในที่สุดหมอตัดสินใจจะทำการผ่าคลอด รีเบคก้าร้องไห้ด้วยความกลัว หมอปลอบเธออย่างใจเย็นบอกว่า “หมอจะทำให้ดีที่สุด แต่เราจะอธิษฐานกับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงทำได้มากกว่าเรา” หมออธิษฐานกับรีเบคก้าและสิบห้านาทีต่อมา บรูซทารกเพศชายร่างกายแข็งแรงก็ได้ลืมตามาดูโลก

หมอคนนั้นเข้าใจเรื่องการพึ่งพาในพระเจ้าและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ เธอตระหนักว่าแม้ตนเองจะผ่านการฝึกและมีทักษะที่จะทำการผ่าตัดได้ แต่เธอก็ยังต้องการสติปัญญา กำลัง และความช่วยเหลือจากพระเจ้า (สดด.121:1-2)

เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ยินว่าคนที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก หรือใครก็ตามได้ตระหนักว่าพวกเขาต้องการพระเจ้า เพราะจริงๆแล้วเราทุกคนต้องการพระองค์ พระองค์คือพระเจ้าและเราไม่ใช่ พระองค์ผู้เดียวสามารถ “กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้” (อฟ.3:20) ให้เราถ่อมใจลงเพื่อเรียนรู้จากพระองค์และเชื่อวางใจโดยการอธิษฐาน “เพราะพระองค์ทรงทำได้มากกว่า” ที่เราจะสามารถทำได้

แนวคิดซึ่งไม่เป็นที่นิยมของพระเยซู

เป็นเวลา 15 ปีที่ไมค์ เบอร์เดนจัดการประชุมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังในร้านขายของที่ระลึกที่เขาเปิดในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ในปี 2012 เมื่อภรรยาเริ่มตั้งคำถามถึงการมีส่วนร่วมของเขา เขาก็เริ่มใจอ่อน เขาตระหนักดีว่ามุมมองเรื่องการเหยียดผิวของเขานั้นผิดและเขาไม่ต้องการเป็นเช่นนั้นอีก กลุ่มหัวรุนแรงจึงตอบโต้โดยขับไล่ครอบครัวเขาออกจากอพาร์ทเมนท์ที่เขาเช่าจากสมาชิกคนหนึ่ง

เขาไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหนน่ะหรือ น่าแปลกที่เขาไปหาศิษยาภิบาลผิวดำซึ่งเคยปะทะคารมกันมาก่อน ศิษยาภิบาลและคริสตจักรของเขาจัดหาที่อยู่และอาหารให้กับครอบครัวของไมค์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงช่วย ศิษยาภิบาลเคนเนดี้กล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำบางสิ่งซึ่งไม่เป็นที่นิยมอย่างมาก เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องช่วยเหลือ จงทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้คุณทำ” ต่อมาไมค์ได้พูดที่คริสตจักรของเคนเนดี้และขอโทษชุมชนคนผิวดำที่เขามีส่วนในการเผยแพร่ความเกลียดชัง

พระเยซูทรงสอนแนวคิดซึ่งไม่เป็นที่นิยมบางประการในคำเทศนาบนภูเขาคือ “ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้...จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (มธ.5:42, 44) นั่นคือวิธีคิดแบบกลับหัวที่พระเจ้าเรียกให้เราทำตาม แม้จะดูเหมือนอ่อนแอ แต่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำที่ออกมาจากความเข้มแข็งของพระเจ้า

พระองค์ผู้ที่สอนเราในเรื่องนี้คือผู้เดียวกับที่ทรงประทานฤทธิ์อำนาจในการดำเนินชีวิตแบบกลับหัวในวิถีทางใดก็ตามที่พระเจ้าทรงบอกกับเรา

พระสัญญาของพระเยซูสำหรับคุณ

เจสันร้องไห้ขณะพ่อแม่ส่งตัวเขาให้เอมี่ นั่นเป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยวัย 2 ขวบต้องอยู่ในห้องเด็กเล็กขณะที่พ่อกับแม่เข้าร่วมการนมัสการ และเขา ไม่ ชอบเลย เอมี่ยืนยันกับผู้เป็นพ่อแม่ว่าเขาจะอยู่ได้ เธอพยายามปลอบเขาด้วยของเล่นและหนังสือ พาไปนั่งเก้าอี้โยก ไปเดินเล่นรอบๆ ยืนนิ่งๆ และพูดคุยว่าเขาจะทำอะไรสนุกๆได้บ้าง แต่เจสันกลับร้องไห้หนักและดังกว่าเดิม จากนั้นเธอกระซิบคำพูดธรรมดาๆห้าคำที่หูของเขาว่า “ฉันจะอยู่กับเธอ” เจสันสงบและรู้สึกดีขึ้นทันที

พระเยซูตรัสคำปลอบโยนคล้ายกันนี้กับสหายของพระองค์ในสัปดาห์ที่จะทรงถูกตรึง “พระบิดา...จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่านเพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไปคือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ยน.14:16-17) หลังจากที่ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ประทานพระสัญญาแก่พวกเขาว่า “นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มธ. 28:20) พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไม่นานหลังจากนั้น แต่พระองค์จะทรงส่งพระวิญญาณมา “อยู่ด้วย” และสถิตในคนของพระองค์

เราสัมผัสถึงการปลอบโยนและสันติสุขของพระวิญญาณได้เมื่อเราร้องไห้ เราได้รับการทรงนำเมื่อเรากำลังสงสัยว่าจะทำอะไรดี (ยน.14:26) พระองค์ทรงเปิดตาเราให้เข้าใจพระเจ้ามากขึ้น (อฟ.1:17-20) และทรงช่วยเมื่อเราอ่อนกำลัง และทรงอธิษฐานเพื่อเรา (รม.8:26-27)

พระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอไป

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา