ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Amy Boucher Pye

เข้มแข็งขึ้นผ่านการทดลอง

ความทรงจำหวนคืนกลับมาเมื่อฉันได้ยินเสียงกรอบแกรบผ่านพวกซองจดหมายและเหลือบไปเห็นสติ๊กเกอร์ที่มีข้อความว่า “ฉันเคยทดสอบสายตา” ในห้วงความคิดฉันเห็นลูกชายวัยสี่ขวบติดสติ๊กเกอร์อย่างภาคภูมิใจหลังอดทนต่อการระคายเคืองจากยาหยอดตา เนื่องจากกล้ามเนื้อตาที่อ่อนแรงทำให้เขาต้องใส่ที่ปิดตาบนตาข้างที่ปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อทำให้ตาข้างที่อ่อนแอมีการพัฒนาและยังต้องรับการผ่าตัดด้วย เขาเผชิญความท้าทายเหล่านี้ไปทีละขั้น โดยมองมาที่เราซึ่งเป็นพ่อแม่เพื่อแสวงหาการปลอบโยนและพึ่งพาพระเจ้าด้วยความเชื่อแบบเด็กๆ ความท้าทายเหล่านี้ทำให้เขามีความสามารถในการฟื้นตัวได้เร็ว

คนที่อดทนต่อการทดลองและความทุกข์ยากมักถูกเปลี่ยนแปลงผ่านประสบการณ์เหล่านั้น แต่อัครทูตเปาโลกล่าวถึงสิ่งที่ยิ่งกว่านั้นคือการ “ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก” เพราะมันทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และนั่นทำให้เกิดความหวังใจ (รม.5:3-4) เปาโลรู้จักการทดลองเป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่เรือแตกแต่ถูกจำคุกเพราะความเชื่อด้วย กระนั้นท่านยังเขียนถึงผู้เชื่อในโรมว่า “ความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ข้อ 5) อัครทูตระลึกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทำให้เรายังคงมีความหวังใจในพระเยซูเมื่อเราวางใจในพระองค์

ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับความยากลำบากใด ขอให้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงเทพระคุณและพระเมตตาของพระองค์มาเหนือคุณ พระองค์ทรงรักคุณ

ความเศร้าโศกและความชื่นบาน

ครอบครัวของแองเจล่าต้องพบกับความโศกเศร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากการสูญเสียญาติใกล้ชิดสามคนในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ หลังจากที่หนึ่งในพวกเธอไปเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของหลานชาย แองเจล่าและพี่สาวสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะในครัวเป็นเวลาสามวัน โดยออกไปแค่ซื้อโกศซื้ออาหาร และร่วมงานศพเท่านั้น ขณะที่พวกเธอร้องไห้กับการเสียชีวิตของหลานชาย พวกเธอก็ได้ชื่นชมยินดีกับภาพถ่ายอัลตราซาวนด์ของชีวิตใหม่ที่เติบโตขึ้นในตัวของน้องสาวคนสุดท้อง

ต่อมาแองเจล่าพบการปลอบโยนและความหวังจากพระธรรมเอสราในพันธสัญญาเดิม ซึ่งบรรยายถึงประชากรของพระเจ้าที่กลับมายังเยรูซาเล็ม ภายหลังจากที่พวกบาบิโลนทำลายพระวิหารและเนรเทศพวกเขาออกจากเมืองอันเป็นที่รัก (ดู อสร.1) ขณะเอสราเฝ้ามองการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ ท่านได้ยินเสียงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นบาน (3:10-11) แต่ท่านก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของบรรดาผู้ที่ระลึกถึงชีวิตก่อนการเนรเทศด้วย (ข้อ 12)

พระวจนะข้อหนึ่งปลอบโยนเธอเป็นพิเศษ “ประชาชนจึงสังเกตไม่ได้ว่าไหนเป็นเสียงร้องด้วยความชื่นบาน และไหนเป็นเสียงประชาชนร้องไห้ เพราะประชาชนโห่ร้องเสียงดังมาก” (ข้อ 13) เธอตระหนักว่าแม้เธอจะจมอยู่ในความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง ความชื่นบานก็ยังปรากฏได้

เราเองก็อาจโศกเศร้ากับความตายของผู้เป็นที่รัก หรือคร่ำครวญกับการสูญเสียที่ต่างออกไป หากเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถร้องไห้ด้วยความปวดร้าวไปพร้อมๆกับช่วงเวลาที่เราชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้ โดยรู้ว่าพระองค์ทรงได้ยินเราและทรงโอบกอดเราไว้ในอ้อมแขนของพระองค์

รักที่ยิ่งใหญ่กว่า

เพียงไม่กี่วันก่อนสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่คริสเตียนทั่วโลกระลึกถึงการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูและเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งบุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสและกราดยิงทำให้มีผู้เสียชีวิตสองศพ หลังการเจรจาคนร้ายปล่อยตัวประกันทั้งหมดยกเว้นหนึ่งคนที่เขาใช้เป็นโล่มนุษย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์โนด์ เบลทรัมตระหนักถึงอันตรายจึงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเขาอาสาที่จะเป็นตัวประกันแทนผู้หญิงคนนั้น คนร้ายจึงปล่อยตัวเธอ แต่ในการชุลมุนที่เกิดขึ้นตามมาเบลทรัมบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ผู้รับใช้คนหนึ่งที่รู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้เชื่อว่าการเสียสละของเขามาจากความเชื่อในพระเยซู โดยอ้างถึงพระคำของพระองค์ในยอห์น 15:13 ว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสกับพวกสาวกหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย พระองค์บอกสหายเหล่านี้ว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน​” (ข้อ 12) และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น (ข้อ 13) แล้วพระองค์ก็กระทำสิ่งนี้ในวันถัดมาเมื่อทรงถูกตรึงที่กางเขนเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดจากบาป เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถกระทำได้

เราอาจไม่มีวันถูกเรียกให้ทำวีรกรรมตามอย่างอาร์โนด์ เบลทรัม แต่เมื่อเราคงอยู่ในความรักของพระเจ้า เราก็สามารถรับใช้ผู้อื่นอย่างเสียสละได้ โดยการปล่อยวางแผนการและความต้องการของเราลง และหาโอกาสแบ่งปันเรื่องราวแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

แหล่งน้ำแห่งความสดชื่น

เมื่อแอนดรูว์และครอบครัวของเขาได้ไปเที่ยวซาฟารีในประเทศเคนย่า พวกเขามีความสุขกับการเฝ้าดูสัตว์หลากหลายชนิดแวะเวียนมายังทะเลสาบเล็กๆท่ามกลางทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง ทั้งยีราฟ วิลเดอบีสต์ ฮิบโปโปเตมัสและนกน้ำหลายสายพันธุ์ต่างมุ่งหน้ามายังแหล่งน้ำที่ให้ชีวิตนี้ ขณะที่แอนดรูว์สังเกตการไปมาของสัตว์ต่างๆ เขาได้คิดว่า “พระคัมภีร์ก็เหมือนกับแหล่งน้ำที่มาจากพระเจ้า” ที่ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งแห่งการทรงนำและสติปัญญา แต่ยังเป็นแหล่งน้ำแห่งความสดชื่น ที่ช่วยดับความกระหายของมนุษย์จากทุกเส้นทางเดินของชีวิตได้

ข้อสังเกตของแอนดรูว์สะท้อนสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้เรียกบางคนว่า “ผู้ได้รับพร” เมื่อเขาเหล่านั้นปีติยินดีและภาวนาพระธรรมของพระเจ้า ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในพันธสัญญาเดิมเพื่ออธิบายคำสอนและพระบัญชาของพระเจ้า ผู้ที่ภาวนาพระคำเปรียบเหมือนกับ “ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล” (สดด.1:3) เช่นเดียวกับรากของต้นไม้ที่หยั่งลึกลงไปในดินเพื่อพบแหล่งแห่งความสดชื่น ผู้ที่เชื่อและรักพระเจ้าอย่างแท้จริงจะหยั่งรากของเขาลึกลงไปในพระวจนะของพระองค์เพื่อจะพบกำลังที่พวกเขาต้องการ

การยอมมอบตัวเราไว้ในพระปัญญาของพระเจ้าจะทำให้รากฐานของเราฝังแน่นอยู่ในพระองค์ เราจะไม่เป็นเหมือน “แกลบซึ่งลมพัดกระจายไป” (ข้อ 4) เมื่อเราใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระคัมภีร์ เราจะได้รับการเลี้ยงดูให้อิ่มหนำซึ่งนำไปสู่การเกิดผลที่ยั่งยืน

น้ำแห่งชีวิต

ชีวิตในบ้านของแอนเดรียง่อนแง่นเต็มที เธอจึงออกจากบ้านตอนอายุ 14 ปีหางานทำและอาศัยกับเพื่อนๆ เพราะโหยหาความรักและการยอมรับ เธอจึงย้ายไปอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแนะนำให้เธอใช้ยาเสพติดเพิ่มจากการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเธอดื่มประจำอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์และการยอมรับไม่ได้เติมเต็มความปรารถนาของเธอ เธอยังคงแสวงหา จนกระทั่งหลายปีต่อมาเธอได้พบกับผู้เชื่อพระเยซูบางคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือและเสนอตัวที่จะอธิษฐานกับเธอ ผ่านไปไม่กี่เดือน ในที่สุดเธอก็ได้พบกับพระเยซูผู้ทรงดับความกระหายหาความรักของเธอ

หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำซึ่งพระเยซูทรงขอน้ำจากนางได้พบผู้ที่เติมเต็มความกระหายของนางเช่นกัน นางอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาร้อนจัดของวัน (ยน.4:5-7) อาจเพราะต้องการหลีกเลี่ยงสายตาและคำนินทาจากผู้หญิงคนอื่นที่รู้ประวัติว่านางมีสามีหลายคนและคบชู้ในปัจจุบัน (ข้อ 17-18) เมื่อพระเยซูทรงเข้ามาหาและขอน้ำดื่มจากนาง พระองค์ทรงทำสิ่งที่ขัดต่อแบบแผนสังคมในเวลานั้น เพราะปกติแล้วพระองค์ซึ่งเป็นอาจารย์ชาวยิว ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหญิงชาวสะมาเรีย แต่พระองค์ปรารถนาจะประทานน้ำธำรงชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญแก่นาง (ข้อ 10) พระองค์ประสงค์จะดับความกระหายของนาง

เมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้ดื่มน้ำธำรงชีวิตนี้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งปันถ้วยนี้กับผู้อื่นเมื่อเราเชื้อเชิญพวกเขาให้มาติดตามพระองค์

ผู้เลี้ยงแกะที่ดี

เมื่อศิษยาภิบาลวอร์เรนได้ยินว่าชายคนหนึ่งในโบสถ์ของเขาละทิ้งภรรยาและครอบครัวไป เขาทูลขอให้พระเจ้าช่วยให้เขาได้พบกับชายคนนั้นโดยบังเอิญเพื่อจะมีโอกาสพูดคุยกัน แล้วเขาก็ได้พบจริงๆ! ขณะที่วอร์เรนเดินเข้าไปในร้านอาหาร เขามองเห็นชายคนนี้ที่โต๊ะใกล้ๆ “มีที่ว่างสำหรับคนหิวอีกคนหนึ่งไหม” เขาถาม จากนั้นพวกเขาได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งและอธิษฐานด้วยกัน

ในฐานะศิษยาภิบาล วอร์เรนกำลังทำหน้าที่เหมือนผู้เลี้ยงแกะให้คนในโบสถ์ของเขา ดังที่พระเจ้าเองตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลว่าพระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะตามหาแกะของพระองค์ที่กระจัดกระจายไป ช่วยชีวิตและรวบรวมแกะเหล่านั้นไว้ (อสค.34:12-13) พระองค์จะ “เลี้ยงเขาในลานหญ้าอย่างดี” และ “จะเที่ยวหาแกะที่หายและเราจะนำแกะที่หลงกลับมา” พระองค์จะทรง “พันผ้าให้แกะที่กระดูกหักและเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย” (ข้อ14-16) ความรักของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ได้สะท้อนผ่านภาพเหล่านี้ แม้ถ้อยคำของเอเสเคียลจะพยากรณ์ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะกระทำในอนาคต แต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์ของพระเจ้าและพระผู้เลี้ยงที่วันหนึ่งจะสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู

ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์มาหาเราทุกคน ทรงตามหาเพื่อจะช่วยกู้และปกป้องเราไว้ในลานหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ พระองค์ทรงรอคอยที่เราจะติดตามผู้เลี้ยงที่ดี ผู้ทรงสละชีวิตเพื่อแกะของพระองค์ (ดู ยน.10:14-15)

ออกจากถ้ำสิงโต

เมื่อทาเฮอร์และดอนย่าภรรยามาเชื่อในพระเยซู พวกเขารู้ว่าต้องเสี่ยงกับการถูกข่มเหงในประเทศบ้านเกิดของตน และก็เป็นเช่นนั้นจริงเมื่อวันหนึ่งทาเฮอร์ถูกปิดตาสวมกุญแจมือ ถูกขังและถูกตั้งข้อหาว่าละทิ้งศาสนา ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การพิจารณา เขาและดอนย่าตกลงกันว่าจะไม่ทรยศพระเยซู

สิ่งที่เกิดขึ้นในการพิจารณาคดีทำให้เขาอัศจรรย์ใจ ผู้พิพากษากล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมอยากจะช่วยคุณให้รอดจากปากของวาฬและสิงโต” ทาเฮอร์จึง “รู้ว่าพระเจ้าทรงกำลังทำงาน” เขาไม่อาจอธิบายเป็นอื่นได้เลยที่ผู้พิพากษาอ้างอิงถึงเรื่องราวสองตอนจากพระคัมภีร์ (ดู ยนา.2 และ ดนล.6) ทาเฮอร์ถูกปล่อยออกจากคุกและครอบครัวของเขาลี้ภัยไปที่อื่น

การปล่อยตัวทาเฮอร์อย่างน่าประหลาดใจนั้นสะท้อนเรื่องราวของดาเนียล อภิรัฐมนตรีผู้มีความสามารถกำลังจะได้รับการเลื่อนขั้น ทำให้เพื่อนร่วมงานอิจฉา (ดนล.6:3-5) พวกเขาวางแผนทำลายดาเนียลโดยการโน้มน้าวพระราชาดาริอัส ให้ออกกฎหมายห้ามไม่ให้อธิษฐานทูลขอต่อผู้ใดนอกจากพระราชา แต่ดาเนียลไม่สนใจ พระราชาดาริอัสไม่มีทางเลือกนอกจากโยนเขาลงไปในถ้ำสิงโต (ข้อ 16) แต่พระเจ้า “ทรงช่วยกู้” และช่วยดาเนียลให้รอดจากความตาย (ข้อ 27) เช่นเดียวกับที่ทรงช่วยทาเฮอร์ด้วยการให้ผู้พิพากษาปล่อยเขาอย่างน่าอัศจรรย์

วันนี้มีผู้เชื่อมากมายทนทุกข์จากการติดตามพระเยซู บางคนก็ถึงกับถูกฆ่า เมื่อเราเผชิญกับการข่มเหง ความเชื่อของเราจะหยั่งรากลึกยิ่งขึ้นได้เมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีวิธีการที่เราไม่อาจจินตนาการได้ จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงอยู่กับคุณในการต่อสู้ใดๆที่คุณเผชิญอยู่

เพื่อนกันจนวันตาย

วิลเลี่ยม คาวเปอร์ (ค.ศ.1731-1800) กวีชาวอังกฤษได้กลายเป็นเพื่อนกับศิษยาภิบาลของเขาคือจอห์น นิวตัน (ค.ศ.1725-1807) อดีตนักค้าทาส ตอนนั้นคาวเปอร์ทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล เขาพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าหนึ่งครั้ง เมื่อนิวตันมาเยี่ยม พวกเขาจะออกไปเดินเล่นด้วยกันเป็นเวลานานและคุยกันเรื่องพระเจ้า นิวตันมีความคิดที่จะรวบรวมบทเพลงสรรเสริญ ด้วยคิดว่าคาวเปอร์จะได้ประโยชน์จากการได้ใช้ความสามารถที่มีและเป็นเหตุผลในการที่เขาจะได้เขียนบทกวี คาวเปอร์ได้มีส่วนร่วมในหลายๆบทเพลงรวมถึงเพลง “พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างล้ำลึก” เมื่อนิวตันย้ายไปอีกคริสตจักรหนึ่ง ท่านและคาวเปอร์ยังคงเป็นเพื่อนสนิทและติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอในตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของคาวเปอร์

ฉันเห็นความคล้ายคลึงกันในมิตรภาพของคาวเปอร์กับนิวตันและดาวิดกับโยนาธานในพระคัมภีร์เดิม หลังจากที่ดาวิดเอาชนะโกลิอัทแล้ว “จิตใจของโยนาธานก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด” ท่านรักดาวิดเหมือนรักตนเอง (1 ซมอ.18:1) แม้โยนาธานเป็นโอรสของกษัตริย์ซาอูล แต่ท่านปกป้องดาวิดจากความอิจฉาและความโกรธของกษัตริย์ และถามบิดาว่าเพราะเหตุใดดาวิดจึงจะต้องถูกประหาร คำตอบที่ได้คือ “ซาอูลได้ทรงพุ่งหอกใส่ท่านเพื่อจะฆ่าท่าน” (20:33) โยนาธานหลบหอกนั้นและเศร้าใจที่บิดาหยามน้ำหน้าเพื่อนของท่าน (ข้อ 34)

สำหรับเพื่อนทั้งสองคู่นี้ ความผูกพันของพวกเขาเสริมสร้างชีวิตกันและกันให้เข้มแข็งขณะที่พวกเขาหนุนใจกันให้รับใช้และรักพระเจ้า ในวันนี้คุณจะหนุนใจเพื่อนสักคนในแบบเดียวกันนี้ได้อย่างไร

ความหวังและความปรารถนา

เมื่อฉันย้ายไปอยู่ประเทศอังกฤษ เทศกาลขอบคุณพระเจ้าของอเมริกาได้กลายเป็นเพียงวันพฤหัสบดีวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่นั่น แม้ว่าฉันจัดงานเลี้ยงในวันหยุดสุดสัปดาห์หลังจากนั้น แต่ฉันก็ยังปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆในวันสำคัญนี้ ฉันเข้าใจว่าความปรารถนาของฉันไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันคนเดียว เราทุกคนปรารถนาที่จะอยู่กับคนที่เรารักในโอกาสพิเศษและเทศกาลสำคัญ และเมื่อเราเลี้ยงฉลองเราอาจคิดถึงคนที่ไม่ได้อยู่กับเรา หรือเราอาจอธิษฐานเผื่อครอบครัวที่แตกแยกของเราให้มีสันติสุข

ในช่วงเวลาเหล่านี้ สิ่งที่ช่วยฉันได้คือการอธิษฐานและใคร่ครวญถึงสติปัญญาจากพระคัมภีร์รวมถึงพระธรรมสุภาษิตของกษัตริย์ซาโลมอนตอนหนึ่งที่ว่า “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้ใจเจ็บช้ำ แต่ความปรารถนาที่สำเร็จแล้วเป็นต้นไม้แห่งชีวิต” (สภษ.13:12) ในพระธรรมข้อนี้ กษัตริย์ซาโลมอนได้แบ่งปันสติปัญญาผ่านประโยคที่มีสาระสำคัญ ทรงให้ข้อสังเกตถึงผลกระทบของ “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้” ว่าความปรารถนาที่ต้องรอคอยก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์และความเจ็บช้ำ แต่เมื่อความปรารถนาได้รับการเติมเต็ม ก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้แห่งชีวิต คือที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและได้รับการฟื้นฟู

ความหวังและความปรารถนาบางเรื่องของเราอาจไม่สามารถสำเร็จได้ทันที และบางเรื่องอาจสำเร็จได้โดยพระเจ้าเท่านั้นหลังจากที่เราเสียชีวิตลง ไม่ว่าเราจะปรารถนาสิ่งใด เราวางใจในพระองค์ได้โดยรู้ว่าพระองค์ทรงรักเราอย่างไม่สิ้นสุด และวันหนึ่งเราจะได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารักอีกครั้งเมื่อเราร่วมฉลองกับพระองค์และขอบพระคุณพระองค์ (ดู วว.19:6-9)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา