ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Alyson Kieda

ไม่เคยพูดว่า “ทำไม่ได้”

เจนเกิดมาไม่มีขาและถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล แต่เธอยังบอกว่าการถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมเป็นพระพรสำหรับเธอ “ฉันอยู่ที่นี่เพราะมีคนได้ทุ่มเทในชีวิตฉัน” ครอบครัวบุญธรรมช่วยให้เธอรู้ว่าเธอ “เกิดมาแบบนี้เพื่อเหตุผลบางอย่าง” พวกเขาเลี้ยงดูเธอให้ “ไม่เคยพูดว่า ‘ทำไม่ได้’” และให้กำลังใจในทุกสิ่งที่เธอทำ ซึ่งรวมไปถึงการเป็นนักแสดงผาดโผนและนักกายกรรมกลางหาวที่ประสบความสำเร็จ! เธอเผชิญความท้าทายด้วยทัศนคติว่า “ฉันจะจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร” และจูงใจให้ผู้อื่นทำแบบเดียวกัน

พระคัมภีร์บอกเล่าเรื่องราวของคนมากมายที่พระเจ้าทรงใช้ ที่ดูเหมือนไร้ความสามารถหรือไม่เหมาะกับการทรงเรียกของพวกเขา แต่พระเจ้าก็ยังทรงใช้พวกเขา โมเสสเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านให้นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ ท่านไม่เต็มใจ (อพย.3:11; 4:1) และคัดค้าน “ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว” พระเจ้าทรงตอบว่า “ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดีหรือตาบอด เรา พระเจ้าเป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นไปเถิด เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด” (อพย.4:10-12) เมื่อโมเสสยังคงคัดค้าน พระเจ้าทรงเตรียมอาโรนให้พูดแทนท่านและทรงยืนยันว่าจะช่วยพวกเขา (ข้อ 13-15)

เช่นเดียวกับเจนและโมเสส เราทุกคนอยู่ที่นี่เพื่อเหตุผลบางอย่าง และพระเจ้าจะทรงช่วยเราตลอดเส้นทางนี้โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมบางคนเพื่อช่วยเรา และทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นแก่เราในการมีชีวิตเพื่อพระองค์

ความมืดและความสว่าง

เวลานั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ฉันได้เห็นตัวอย่างมากมายถึงโลกที่แตกสลายนี้ ลูกสาวบาดหมางกับแม่ สามีและภรรยาสูญเสียความรักที่เคยมีและบัดนี้เหลือเพียงความขมขื่นต่อกัน สามีที่ปรารถนาจะคืนดีกับภรรยาและกลับมาอยู่ร่วมกับลูกๆ พวกเขาจำเป็นต้องมีหัวใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง บาดแผลที่ได้รับการเยียวยา และให้ความรักของพระเจ้ามีชัยชนะ

บางครั้งเมื่อโลกรอบตัวเราดูเหมือนจะมีแค่ความมืดและความสิ้นหวัง การหมดซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นได้ง่ายดาย แต่แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อในพระคริสต์ (ยน.14:17) ได้เตือนเราว่า พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อความเสื่อมสลายและความเจ็บปวดนั้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาในโลกในฐานะมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำเอาแสงสว่างเข้ามาในความมืด (1:4-5; 8:12) ดังจะเห็นได้จากการสนทนาของพระเยซูและนิโคเดมัส ผู้ซึ่งลอบมาหาพระองค์ในความมืดแต่กลับออกไปโดยได้รับอิทธิพลของแสงสว่าง คือพระเยซู (3:1-2; 19:38-40)

พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัสว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (3:16)

ถึงแม้ว่าพระเยซูได้นำแสงสว่างและความรักเข้ามายังโลกนี้ หลายคนยังคงหลงอยู่ในความมืดแห่งบาปของตน (ข้อ 19-20) ถ้าเราเป็นผู้ติดตามพระองค์ เราก็มีความสว่างที่จะขับไล่ความมืดได้ ให้เราอธิษฐานร่วมกันด้วยใจขอบพระคุณ ที่พระเจ้าจะทรงทำให้เราเป็นตะเกียงแห่งความรักของพระองค์ (มธ.5:14-16)

นักรบผู้กล้าหาญ

ดีท อีมาน เป็นเด็กสาวขี้อายธรรมดาคนหนึ่งในเนเธอร์แลนด์ เธอมีความรัก ทำงาน และใช้เวลาอย่างมีความสุขกับครอบครัวและเพื่อนๆ ในตอนที่เยอรมันบุกเข้ามาในปี 1940 ต่อมาดีทเขียนไว้ว่า “เมื่ออันตรายเข้ามาใกล้ คุณก็อยากทำตัวเหมือนนกกระจอกเทศที่มุดหัวลงไปในทราย” แต่ดีทรู้สึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้าให้เธอต่อต้านผู้กดขี่ชาวเยอรมัน ซึ่งรวมถึงเสี่ยงชีวิตเพื่อหาที่หลบซ่อนสำหรับชาวยิวและผู้ที่ถูกไล่ล่า หญิงสาวที่ถ่อมตนคนนี้ได้กลายเป็นนักรบของพระเจ้า

เราพบหลายเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่เหมือนเรื่องของดีท เรื่องราวที่พระเจ้าทรงใช้คนที่ดูเหมือนไม่น่าจะรับใช้พระองค์ได้ เช่น เมื่อทูตของพระเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนพูดกับท่านว่า “เจ้าบุรุษผู้กล้าหาญเอ๋ย พระเจ้าทรงสถิตกับเจ้า” (วนฉ.6:12) แต่กิเดโอนไม่มีความกล้าเลย ท่านแอบนวดข้าวสาลีเพื่อซ่อนให้พ้นตาคนมีเดียนที่กดขี่ชาวอิสราเอลอยู่ในเวลานั้น (ข้อ 1-6, 11) ท่านมาจากเผ่าที่อ่อนแอที่สุดของอิสราเอล (มนัสเสห์) และเป็นคน “เล็กน้อย” ที่สุดในครอบครัว (ข้อ 15) ท่านไม่ได้รู้สึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้าและยังร้องขอหมายสำคัญหลายอย่าง แต่พระเจ้ายังทรงใช้ท่านเอาชนะชาวมีเดียนที่โหดร้าย (ดูบทที่ 7)

พระเจ้าทรงมองว่ากิเดโอน “กล้าหาญ” เช่นเดียวกับที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยและช่วยเหลือกิเดโอน พระองค์สถิตกับเราซึ่งเป็น “บุตรที่รัก” (อฟ.5:1) ของพระองค์ด้วย ทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างแก่เราเพื่อเราจะดำเนินชีวิตและรับใช้พระองค์ทั้งในสิ่งเล็กน้อยและยิ่งใหญ่

การทรงเรียกครั้งใหม่

เคซี่หัวหน้าแก๊งวัยรุ่นและลูกสมุนของเขางัดแงะไปตามบ้านและรถยนต์ ปล้นร้านสะดวกซื้อ และตีรันฟันแทงกับแก๊งอื่นๆ สุดท้ายเคซี่ถูกจับและตัดสินจำคุก ในเรือนจำเขากลายเป็น “หัวหน้าใหญ่” และใช้มีดที่ทำขึ้นเองทำร้ายคนอื่นระหว่างการจลาจล

ต่อมาไม่นานเขาถูกขังเดี่ยว ขณะฝันกลางวันอยู่ในห้องขัง เคซี่สัมผัสถึง “ภาพเคลื่อนไหว” ของเรื่องราวช่วงสำคัญๆในชีวิตเขา และภาพของพระเยซูที่ถูกพาไปตรึงที่กางเขน และทรงตรัสกับเขาว่า “เราทำสิ่งนี้เพื่อเจ้า” เคซี่ทรุดลงกับพื้นร้องไห้และสารภาพบาปของเขา หลังจากนั้นเขาเล่าประสบการณ์นี้ให้กับอนุศาสนาจารย์ในเรือนจำฟัง ผู้ซึ่งได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระเยซูและมอบพระคัมภีร์ให้เคซี่ “นั่นคือจุดเริ่มต้นการเดินทางแห่งความเชื่อของผม” เคซี่พูด ในที่สุดเขาได้รับการปล่อยตัวให้กลับสู่ห้องขังรวมที่ซึ่งเขาถูกทำร้ายเพราะความเชื่อของเขา แต่เขามีสันติสุข เพราะ “เขาได้พบกับการทรงเรียกครั้งใหม่ คือให้บอกผู้ต้องขังคนอื่นเรื่องพระเยซู”

ในจดหมายถึงทิโมธี อัครทูตเปาโลพูดถึงฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของพระคริสต์ พระเจ้าทรงเรียกเราออกจากชีวิตที่เต็มด้วยการกระทำผิดให้มาติดตามและรับใช้พระเยซู (2 ทธ.1:9) เมื่อเราต้อนรับพระองค์โดยความเชื่อ เราปรารถนาที่จะเป็นพยานที่มีชีวิตถึงความรักของพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยเราให้ทำเช่นนั้นได้ แม้ต้องพบความยากลำบากขณะแสวงหาโอกาสที่จะแบ่งปันข่าวดี (ข้อ 8) เช่นเดียวกับเคซี่ ให้เรามีชีวิตเพื่อการทรงเรียกครั้งใหม่ของเรา

ทรงพาเราผ่านพายุ

ระหว่างการเดินทางไปอินเดียครั้งแรกของมิชชันนารีชาวสก๊อต อเล็กซานเดอร์ ดัฟฟ์ในปี 1830 เรือของเขาอับปางกลางพายุใกล้ชายฝั่งของแอฟริกาใต้ เขากับเพื่อนผู้โดยสารเรือรอดไปถึงเกาะร้างเล็กๆ และไม่นานต่อมาลูกเรือคนหนึ่งก็พบพระคัมภีร์ของดัฟฟ์ถูกพัดมาติดหาดทราย เมื่อพระคัมภีร์แห้งแล้วดัฟฟ์ก็อ่านสดุดี 107 ให้ผู้รอดชีวิตฟังและพวกเขาก็มีกำลังใจ ในที่สุดหลังจากได้รับการช่วยเหลือและมีเหตุการณ์เรือแตกอีกครั้ง ดัฟฟ์ก็ไปถึงอินเดีย

พระธรรมสดุดี 107 กล่าวถึงวิธีการบางอย่างที่พระเจ้าใช้ปลดปล่อยคนอิสราเอล ไม่ต้องสงสัยว่าดัฟฟ์และลูกเรือเข้าใจเป็นอย่างดีและได้รับการปลอบประโลมใจจากถ้อยคำที่ว่า “พระ​องค์​ทรง​กระทำ​ให้​พายุ​สงบ​ลงและ​คลื่น​ทะเล​ก็​นิ่ง แล้ว​เขา​ก็​ยินดี​เพราะ​เขา​มี​ความ​เงียบ และ​พระ​องค์​ทรง​นำ​เขา​มายัง​ท่า​ที่​เขา​ปรารถนา” (ข้อ 29-30) และเช่นเดียวกับคนอิสราเอล พวกเขา “​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า เพราะ​ความ​รัก​มั่นคง​ของ​พระ​องค์ เพราะ​การ​อัศจรรย์​ของ​พระ​องค์​ที่​มี​ต่อ​บุตร​ของ​มนุษย์” (ข้อ 31)

เราเห็นความคล้ายคลึงระหว่างสดุดี 107:28-30 กับพันธสัญญาใหม่ (มธ.8:23-27; มก.4:35-41) พระเยซูและสาวกอยู่ในเรือกลางทะเลเมื่อเกิดพายุรุนแรง สาวกร้องด้วยความกลัวและพระเยซูซึ่งเป็นพระเจ้าผู้สวมสภาพมนุษย์ทรงทำให้ทะเลสงบลง เราเองก็มีกำลังใจได้เช่นกัน! พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฤทธิ์ทรงได้ยินและตอบคำร้องทูลของเรา และจะทรงปลอบประโลมเราในท่ามกลางพายุ

เติบโตในพระคุณพระเจ้า

นักเทศน์ชาวอังกฤษ ชาร์ลส์ เอ็ช สเปอร์เจียน (1834-1892) ใช้ชีวิตแบบ “เต็มร้อย” ท่านเป็นศิษยาภิบาลตอนอายุสิบเก้า ต่อมาไม่นานท่านได้เทศนากับฝูงชน ท่านเรียบเรียงทุกคำเทศนาด้วยตัวเอง ซึ่งในภายหลังรวมเป็นหนังสือได้ 63 เล่ม ท่านเขียนหนังสือคำอธิบายพระคัมภีร์ หนังสือเรื่องการอธิษฐานและงานอื่นมากมาย ปกติแล้วท่านอ่านหนังสือหกเล่มต่อสัปดาห์! หนึ่งในคำเทศนาของท่าน กล่าวว่า “ความบาปของการไม่ทำอะไรเป็นบาปที่ใหญ่ที่สุด เพราะมันเกี่ยวข้องกับความบาปส่วนใหญ่...ความนิ่งเฉยที่เลวร้าย! ขอพระเจ้าช่วยเราด้วย!”

ชาร์ลส์ สเปอร์เจียนใช้ชีวิตด้วยความอุตสาหะ ท่าน “อุตส่าห์จนสุดกำลัง” (2 ปต.1:5) เพื่อจะเติบโตในพระคุณพระเจ้าและอยู่เพื่อพระองค์ ถ้าเราเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ พระเจ้าทรงสามารถปลูกฝังความต้องการและความสามารถที่เราจะเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นได้ เพื่อ “อุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม...เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน...และเอาธรรมเพิ่มขันตี” (ข้อ 5-7)

เราแต่ละคนมีแรงจูงใจ ความสามารถ และระดับพลังงานแตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหรือควรใช้ชีวิตอย่างชาร์ลส์ สเปอร์เจียน แต่เมื่อเราเข้าใจทุกอย่างที่พระเยซูทรงทำเพื่อเรา เราก็มีแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะใช้ชีวิตอย่างอุตสาหะและสัตย์ซื่อ และเราได้รับกำลังผ่านสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ในการดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์และรับใช้พระองค์ โดยทางพระวิญญาณพระเจ้าทรงเสริมกำลังในความพยายามของเราที่จะทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ให้สำเร็จ

ขับเคลื่อนด้วยไฟ

เมื่อนักผจญเพลิงสองคนที่เหนื่อยล้าและตัวเต็มไปด้วยเขม่าแวะทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟจำทั้งสองคนได้จากข่าวและรู้ว่าพวกเขาใช้เวลาทั้งคืนต่อสู้กับไฟในโกดัง เพื่อแสดงความขอบคุณเธอจึงเขียนข้อความในใบเรียกเก็บเงินว่า “วันนี้ฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารเช้าพวกคุณ ขอบคุณ...ที่ปรนนิบัติผู้อื่นและวิ่งเข้าไปในที่ที่คนอื่นพากันวิ่งหนีออกมา...คุณเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนด้วยไฟและความกล้าหาญ”

ในพันธสัญญาเดิม เราเห็นตัวอย่างความกล้าหาญของชายหนุ่มสามคนคือ ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก (ดนล.3) แทนที่จะเชื่อฟังคำสั่งให้นมัสการปฏิมากรของกษัตริย์บาบิโลน พวกเขากลับแสดงความรักที่มีต่อพระเจ้าอย่างกล้าหาญ ด้วยการปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งนั้นและถูกลงโทษด้วยการโยนเข้าไปในเตาไฟที่ลุกอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ถอย “ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัติ พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา พระองค์ก็จะทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท ถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น พวกข้าพระบาทก็ไม่ปรนนิบัติพระของฝ่าพระบาท หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งขึ้น”(ข้อ 17-18)

พระเจ้าทรงช่วยกู้และเดินอยู่กับพวกเขาในกองเพลิง (ข้อ 25-27) ท่ามกลางการทดลองและปัญหาที่ร้อนแรงของเราในวันนี้ เราก็มั่นใจได้เช่นกันว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราและพระองค์ทรงจัดการได้

พระเจ้าแห่งการชูใจ

ราดาเมเนสเป็นแค่ลูกแมวตอนที่เจ้าของนำมันมาปล่อยไว้ที่ศูนย์สงเคราะห์สัตว์เพราะคิดว่ามันป่วยหนักเกินรักษา ลูกแมวได้รับการดูแลจนหายดีและสัตวแพทย์รับเลี้ยงมันไว้ให้อาศัยอยู่ที่ศูนย์ และคอย “ปลอบ” แมวและสุนัขที่เพิ่งผ่าตัดหรือกำลังพักฟื้นด้วยเสียงร้องเบาๆและการคอยอยู่ใกล้ๆอย่างอบอุ่น

นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆที่แสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงรักทำเพื่อเรา และสิ่งที่เราสามารถจะทำเพื่อผู้อื่นเป็นการตอบแทน พระองค์ทรงดูแลเราในยามเจ็บป่วยและทุกข์ยาก และทรงปลอบประโลมเราด้วยการทรงสถิตอยู่ด้วย ใน 2 โครินธ์อัครทูตเปาโลเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดาผู้ทรงความเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง​” (1:3) เมื่อเราท้อแท้ หดหู่ หรือถูกรังแก พระองค์ทรงอยู่กับเรา เมื่อเราหันมาหาพระองค์ในคำอธิษฐาน พระองค์ “​ทรง​ชู​ใจ​เรา​ใน​การ​ทุกข์​ยาก​ทั้งสิ้น​” (ข้อ 4)

แต่ในข้อ 4 ไม่ได้จบลงแค่นั้น เปาโลผู้ผ่านการทนทุกข์อย่างแสนสาหัสมาแล้วได้กล่าวต่อว่า “เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า” พระบิดาทรงปลอบโยนเรา และเมื่อเรามีประสบการณ์กับการปลอบโยนของพระองค์แล้ว เราจะสามารถปลอบโยนผู้อื่นได้

องค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเมตตาได้ทนทุกข์เพื่อเรา พระองค์ทรงสามารถชูใจเราในความทุกข์และความเศร้า (ข้อ 5) พระองค์ทรงช่วยเราผ่านความเจ็บปวด และเตรียมเราให้ช่วยผู้อื่นเช่นกัน

ในสวน

พ่อของฉันชอบร้องเพลงนมัสการเก่าๆมาก หนึ่งในเพลงโปรดของท่านคือ “ในสวน” สองสามปีก่อนเราจึงร้องเพลงนี้ในงานศพของท่าน มีท่อนรับเรียบง่ายว่า “ทรงดำเนินกับข้าฯและยังตรัสกับข้าฯ ทรงเรียกข้าฯว่าเป็นบุตรพระองค์ ข้าฯมีความสุขสันต์เมื่อคอยอยู่ที่นั่น ซึ่งคนอื่นไม่เคยรู้เลย” บทเพลงนี้นำความสุขใจมายังพ่อของฉัน และมายังตัวฉันเช่นกัน

ซี. ออสติน ไมลส์นักแต่งเพลงบอกว่าเขาเขียนเพลงนี้ในฤดูใบไม้ผลิปี 1912 หลังจากอ่านพระกิตติคุณยอห์นบทที่ 20 “ขณะที่อ่านในวันนั้น ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในฉากที่เห็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นในชีวิตของมารีย์ ขณะเธอคุกเข่าต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและร้องว่า ‘รับโบนี (อาจารย์)’”

ในยอห์นบทที่ 20 มารีย์ชาวมักดาลาร้องไห้อยู่ใกล้อุโมงค์ฝังพระศพที่ว่างเปล่า ที่นั่นเธอพบชายคนหนึ่งที่ถามเธอว่าทำไมจึงร้องไห้ เธอได้พูดกับพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้วคือพระเยซู โดยคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน ความโศกเศร้ากลายเป็นความชื่นชมยินดี และเธอวิ่งไปบอกเหล่าสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” (ข้อ 18)

เราเองก็แน่ใจได้เช่นกันว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว! ขณะนี้พระองค์ทรงอยู่บนสวรรค์กับพระบิดา แต่ก็ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง ผู้เชื่อในพระคริสต์มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน และโดยพระวิญญาณนั้นเราจึงมีความมั่นใจและชื่นชมยินดีที่รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับเรา และเราเป็น “ของพระองค์”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา