ในสวน
พ่อของฉันรักการใช้ชีวิตกลางแจ้งในท่ามกลางสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ทั้งการตั้งแคมป์ ตกปลาและสะสมหินมีค่า ท่านยังชอบทำงานในสนามและสวนของท่าน แต่มันเป็นงานที่หนักมาก! ท่านใช้เวลาหลายชั่วโมงในการตัดแต่งกิ่ง พรวนดิน เพาะเมล็ดพันธุ์พืชและดอกไม้ ถอนวัชพืช ตัดหญ้า รดน้ำสนามและสวน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่า คือสนามที่มีภูมิทัศน์สวยงาม มะเขือเทศรสอร่อยและพุ่มกุหลาบพีซโรสที่สวยงาม ทุกๆปีท่านตัดกิ่งกุหลาบจนสั้นติดดิน และทุกๆปีพวกมันก็งอกขึ้นใหม่ เติมเต็มประสาทสัมผัสด้วยกลิ่นหอมและความงามของพวกมัน
ในพระธรรมปฐมกาล เราได้อ่านเรื่องสวนเอเดนที่อาดัมและเอวาอาศัย เจริญรุ่งเรืองและดำเนินกับพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้า “ทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน” (ปฐก.2:9) ฉันจินตนาการว่าสวนที่สมบูรณ์แบบนั้นคงมีทั้งดอกไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอม บางทีแม้แต่กุหลาบก็คงจะไม่มีหนาม!
หลังจากอาดัมและเอวากบฏต่อพระเจ้า พวกเขาถูกขับไล่ออกจากสวนและจำเป็นต้องเพาะปลูกและดูแลสวนของตนเอง ซึ่งหมายถึงการทุบทำลายดินแข็ง ต่อสู้กับหนามและอุปสรรคอื่นๆ(3:17-19,23-24) กระนั้นพระเจ้ายังทรงจัดเตรียมให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง (ข้อ 21) และพระองค์ไม่ได้ละมนุษย์ไว้โดยปราศจากความงดงามแห่งการทรงสร้างที่จะดึงเราให้มาหาพระองค์ (รม.1:20) ดอกไม้ในสวนเตือนเราถึงความรักอย่างไม่ยั้งหยุดของพระเจ้าและพระสัญญาเรื่องการทรงสร้างใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังและการปลอบโยน!
แสดงความเมตตากรุณา
หลายเดือนหลังการแท้งบุตร วาเลอรี่ตัดสินใจนำสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วออกขาย เจอรัลด์นายช่างฝีมือเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรกระตือรือร้นมาซื้อเปลเด็กที่เธอกำลังขาย ในขณะที่ภรรยาของเขาได้พูดคุยกับวาเลอรี่และรู้เรื่องความสูญเสียของเธอ เมื่อเจอรัลด์ได้ยินถึงเรื่องราวนั้นในระหว่างทางกลับบ้าน เขาจึงตัดสินใจนำเปลมาทำเป็นของที่ระลึกให้วาเลอรีไว้ดูต่างหน้า หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเขามอบม้านั่งที่งดงามให้เธอทั้งน้ำตา “ยังมีคนดีๆหลงเหลืออยู่ และนี่คือข้อพิสูจน์” วาเลอรี่กล่าว
นางรูธและนางนาโอมีได้พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นเดียวกับวาเลอรี่ สามีและลูกชายสองคนของนาโอมีเสียชีวิต และเวลานี้เธอกับรูธลูกสะใภ้ผู้สูญเสียไม่มีทายาทและไม่มีใครเลี้ยงดูพวกนาง (นรธ.1:1-5) นั่นคือจุดที่โบอาสก้าวเข้ามา เมื่อรูธไปเก็บรวงข้าวตกที่เหลือในทุ่งนา โบอาสซึ่งเป็นเจ้าของนาได้สอบถามถึงเธอ เมื่อรู้ว่าเธอเป็นใคร เขาก็ดีต่อเธอ (2:5-9) รูธรู้สึกแปลกใจจึงถามว่า “ทำไมท่านจึงมองดิฉันด้วยความเอาใจใส่” (ข้อ 10) เขาตอบว่า “ทุกอย่างที่เจ้าได้ปฏิบัติต่อแม่ผัวของเจ้า ตั้งแต่สามีของเจ้าเสียชีวิตแล้ว มีคนมาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว” (ข้อ 11)
ต่อมาโบอาสแต่งงานกับนางรูธและเลี้ยงดูนาโอมี (บทที่ 4) บรรพบุรุษของดาวิดและของพระเยซูได้ถือกำเนิดขึ้นผ่านการแต่งงานของพวกเขา ขณะที่พระเจ้าทรงใช้เจอรัลด์และโบอาสเพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงความทุกข์โศกของผู้อื่น พระองค์ก็ทรงทำงานผ่านเราเพื่อแสดงความกรุณาและเห็นอกเห็นใจในความเจ็บปวดของผู้อื่นได้
การจัดการกับความผิดหวัง
หลังจากระดมทุนตลอดทั้งปีเพื่อ “การเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิต” รุ่นพี่ปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมในรัฐโอคลาโฮมาได้มาถึงสนามบินและพบว่าพวกเขาหลายคนซื้อตั๋วจากบริษัทปลอมที่แอบอ้างเป็นสายการบิน “มันน่าเสียใจอย่างที่สุด” เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนคนหนึ่งกล่าว แต่ถึงแม้พวกเขาจะต้องเปลี่ยนแผน พวกนักเรียนตัดสินใจที่จะ “ใช้เวลาให้มีค่ามากที่สุด” พวกเขาใช้เวลาสองวันเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆที่ให้ตั๋วเข้าฟรีแก่พวกเขา
การรับมือกับแผนการที่ล้มเหลวหรือมีการเปลี่ยนแปลงอาจน่าผิดหวังหรือถึงกับทำให้ใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราลงทุนเวลา เงิน หรือความรู้สึกไปกับการวางแผน กษัตริย์ดาวิด “มีใจประสงค์ที่จะสร้าง” พระนิเวศของพระเจ้า (1 พศด.28:2) แต่พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าอย่าสร้างนิเวศเพื่อนามของเราเลย...ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะสร้างนิเวศของเรา” (ข้อ 3, 6) ดาวิดไม่ได้สิ้นหวัง พระองค์สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงเลือกพระองค์ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และดาวิดมอบแผนผังของพระวิหารให้แก่ซาโลมอนเพื่อสร้างให้สำเร็จ (ข้อ 11-13) ขณะเมื่อทรงมอบแผนผังนั้น ดาวิดได้หนุนใจซาโลมอนว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญและทำให้สำเร็จเถิด...เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้า...ทรงสถิตกับเจ้า” (ข้อ 20)
เมื่อแผนการของเราล้มเหลว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราสามารถนำความผิดหวังมาหาพระเจ้าผู้ทรง “ห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 ปต.5:7) พระองค์จะทรงช่วยเรารับมือกับความผิดหวังด้วยพระคุณ
สิ่งที่เราเลือกนั้นสำคัญ
ครูสอนว่ายน้ำในนิวเจอร์ซีย์เห็นรถกำลังจมลงในอ่าวนิวอาร์ค และได้ยินคนขับข้างในร้องตะโกนว่า “ผมว่ายน้ำไม่เป็น” ขณะที่รถเอสยูวีของเขาจมลงไปในน่านน้ำที่ขุ่นดำอย่างรวดเร็ว เมื่อฝูงชนมุงดูอยู่ริ่มฝั่ง แอนโธนี่วิ่งไปบนโขดหินตามแนวผา ถอดขาเทียมของเขาออก และกระโดดลงไปช่วยชีวิตชายอาวุโสวัย 68 ปีขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณการกระทำที่เด็ดเดี่ยวของแอนโธนี ชายอีกคนหนึ่งจึงรอดชีวิต
สิ่งที่เราเลือกนั้นสำคัญ ให้เราพิจารณายาโคบผู้เป็นบิดาของบุตรชายหลายคน ท่านแสดงความโปรดปรานอย่างเปิดเผยต่อโยเซฟบุตรชายวัยสิบเจ็ดปี ท่านทำ “เสื้อคลุมที่ตกแต่งอย่างงดงาม” ให้กับโยเซฟโดยไม่มีเหตุผล (ปฐก.37:3 TNCV) ผลลัพธ์คือพวกพี่ชายชังโยเซฟ (ข้อ 4) และเมื่อมีโอกาสก็ขายเขาไปเป็นทาส (ข้อ 28) แต่เพราะเหตุว่าโยเซฟไปลงเอยที่อียิปต์ พระเจ้าได้ทรงใช้เขาเพื่อสงวนครอบครัวของยาโคบและคนอื่นๆอีกหลายคนในช่วงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหาร ทั้งๆที่พี่ชายคิดร้ายต่อโยเซฟ (ดู 50:20) แต่การเลือกที่ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไปสู่ผลดี คือการตัดสินใจของโยเซฟที่จะรักษาเกียรติไว้และวิ่งหนีจากภรรยาของโปทิฟาร์ (39:1-12) ผลที่ได้คือเขาถูกจำคุก (39:20) และในที่สุดก็ได้พบกับฟาโรห์ (บทที่ 41)
แอนโธนี่อาจมีข้อได้เปรียบเพราะผ่านการฝึกฝนมา แต่เขาก็ยังต้องตัดสินใจเลือก เมื่อเรารักพระเจ้าและแสวงหาที่จะรับใช้พระองค์นั้น พระองค์ทรงช่วยเราที่จะเลือกหนทางที่นำไปสู่ชีวิตและถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถ้าหากเรายังไม่ได้ตัดสินใจเลือก เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเชื่อวางใจในพระเยซู
หัวเราะเสียงดัง
นักแสดงตลกชื่อจอห์น แบรนยันกล่าวว่า “เราไม่ได้คิดค้นเสียงหัวเราะขึ้นมา นั่นไม่ใช่ความคิดของเรา เสียงหัวเราะนั้นเราได้มาจาก[พระเจ้า] ผู้ทรงรู้ว่าเราจะต้องใช้มันเพื่อให้ผ่านพ้นความยากลำบากในชีวิต [เพราะว่า]พระองค์ทรงรู้ว่าเราจะต้องพบกับความทุกข์ยาก พระองค์ทรงรู้ว่าเราจะต้องมีปัญหา พระองค์ทรงรู้...ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น... เสียงหัวเราะคือของขวัญ”
สัตว์ต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นหากมองเผินๆอาจทำให้เราหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะความแปลกประหลาด (เช่น ตุ่นปากเป็ด) หรือพฤติกรรม (เช่นตัวนากขี้เล่น) พระเจ้าทรงสร้างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในมหาสมุทรและนกขายาวที่บินไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงมีอารมณ์ขัน และเพราะเราถูกสร้างตามพระฉายของพระองค์ เราจึงมีความยินดีในเสียงหัวเราะด้วยเช่นกัน
เราเห็นคำว่าหัวเราะครั้งแรกในพระคัมภีร์จากเรื่องของอับราฮัมและซาราห์ ที่พระเจ้าสัญญาจะประทานลูกแก่สามีภรรยาสูงอายุคู่นี้ว่า “บุตรชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” (ปฐก.15:4) และพระเจ้าตรัสว่า “มองดูฟ้า ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไปเถิด...พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” (ข้อ 5) ในที่สุดเมื่อซาราห์ให้กำเนิดบุตรตอนอายุ 90 ปี อับราฮัมได้ตั้งชื่อบุตรชายว่าอิสอัค ซึ่งแปลว่า “เสียงหัวเราะ” ตามที่ซาราห์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะ ทุกคนที่ได้ฟังจะพลอยหัวเราะด้วย” (21:6) เธอประหลาดใจที่เธอสามารถเลี้ยงลูกได้เมื่ออายุมากแล้ว! พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนเสียงหัวเราะแห่งความไม่เชื่อเมื่อเธอได้ยินว่าเธอจะมีบุตร (18:12) ให้เป็นเสียงหัวเราะแห่งความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริง
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญแห่งเสียงหัวเราะ!
พระเจ้าทรงฟังอยู่
ชัคนักแสดงและนักศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวได้ยกย่องผู้เป็นแม่ในวันเกิดครบรอบ 100 ปีของเธอ โดยแบ่งปันว่าเธอมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณของเขาอย่างไร เขาเขียนว่า “แม่เป็นแบบอย่างของความบากบั่นและความเชื่อ” แม่เลี้ยงดูลูกชายสามคนด้วยตัวเองในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทนทุกข์กับความตายของคู่สมรสสองคน ลูกชาย ลูกติดสามีและหลานๆและยังต้องอดทนกับการผ่าตัดหลายครั้ง “[เธอ]อธิษฐานเผื่อผมมาตลอดชีวิตของผม ผ่านอุปสรรคปัญหาทุกอย่าง” เขากล่าวต่อว่า “ตอนที่ผมเกือบจะสูญเสียจิตวิญญาณไปในวงการฮอลลีวู้ด แต่เธอกลับมาบ้านอธิษฐานให้ผมประสบความสำเร็จและได้รับความรอด” เขาสรุปว่า “ผมขอบคุณ [แม่ของผม] ที่ช่วยพระเจ้าให้ทรงสร้างผมในทุกสิ่งที่ผมทำได้และควรจะเป็น”
คำอธิษฐานของแม่ช่วยให้ชัคพบความรอดและได้พบภรรยาที่รักพระเจ้าเธออธิษฐานอย่างกระตือรือร้นเพื่อลูกชายและพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของเธอ เราไม่ได้รับคำตอบในแบบที่เราต้องการเสมอ ดังนั้นเราจึงไม่อาจใช้การอธิษฐานให้เป็นเหมือนไม้กายสิทธิ์ที่จะเสกสิ่งต่างๆได้ แต่ยากอบรับรองกับเราว่า “คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล” (5:16) เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ เราต้องอธิษฐานเผื่อคนป่วยและคนที่มีปัญหาต่อไป (ข้อ 13-15) เมื่อเราสนทนากับพระเจ้าผ่านการอธิษฐานเหมือนกับเธอ เราจะพบการหนุนใจและสันติสุข ตลอดจนความมั่นใจว่าพระวิญญาณทรงกระทำกิจอยู่
มีบางคนในชีวิตของคุณต้องการความรอด การหายโรค หรือความช่วยเหลือไหม ทูลคำอธิษฐานของคุณต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อ พระองค์ทรงฟังอยู่
จงพูดเรื่องพระเยซูต่อไป!
นักดนตรีที่เชื่อในพระคริสต์คนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาที่เขามักถูกกดดันให้ “หยุดพูดเรื่องพระเยซู” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มีการให้ความเห็นว่าวงของเขาจะยิ่งโด่งดังและหาเงินได้มากขึ้นเพื่อนำมาเลี้ยงดูคนยากจน หากเขาเลิกพูดว่างานของเขาล้วนเกี่ยวข้องกับพระเยซู หลังไตร่ตรองดีแล้วเขาตัดสินใจว่า “วัตถุประสงค์ทั้งสิ้นในงานเพลงของผมก็คือการแบ่งปันความเชื่อในพระคริสต์...ไม่มีทาง(ที่ผม)จะเงียบ” เขาบอกว่า “ภาระใจอันร้อนรนของผม(คือ)การแบ่งปันเรื่องราวของพระเยซู”
ในสถานการณ์การข่มเหงที่ร้ายแรงยิ่งกว่า พวกอัครทูตได้รับข้อความเช่นเดียวกัน พวกเขาถูกจำคุกและได้รับการช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์โดยทูตองค์หนึ่งซึ่งบอกพวกเขาให้ประกาศข้อความแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์แก่ผู้อื่นต่อไป (กจ.5:19-20) เมื่อพวกผู้นำศาสนาทราบว่าพวกอัครทูตออกจากคุกไปได้และพวกเขายังคงประกาศข่าวประเสริฐอยู่ จึงต่อว่าพวกเขาว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อ [พระเยซู] นี้” (ข้อ 28)
พวกเขาจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (ข้อ 29) ด้วยเหตุนี้พวกผู้นำจึงเฆี่ยนพวกอัครทูตและ “กำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู” (ข้อ 40) พวกอัครทูตยินดีที่เห็นว่าตนสมควรจะได้รับการทนทุกข์เพราะพระนามพระเยซู และ “ได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆวันมิได้ขาด” (ข้อ 42) ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรายังคงทำตามแบบอย่างของพวกเขาต่อไป!
ต่อสู้กับสิ่ง “ฉูดฉาด”
ในรายการ ดิแอนดี้กริฟฟิธโชว์ ทีวีซีรี่ย์ในยุค 1960 ชายคนหนึ่งบอกแอนดี้ว่า เขาควรปล่อยให้โอพีลูกชายตัดสินใจเองว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างไร แอนดี้ไม่เห็นด้วย “คุณไม่อาจปล่อยให้เด็กหนุ่มตัดสินใจด้วยตัวเองได้ เพราะเขาจะคว้าเอาสิ่งฉูดฉาดอันแรกที่ติดริบบิ้นแวววาวเอาไว้ และเมื่อเขาพบว่ามีข้อผูกมัดซ่อนอยู่ มันก็สายเกินไป ความคิดผิดๆมากมายมาพร้อมกับสีสันฉูดฉาดแวววาวซึ่งยากที่จะทำให้พวกเขาเชื่อว่าในระยะยาวอาจมีสิ่งอื่นที่ดีกว่า” เขาสรุปว่าสิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่คือ สร้างแบบอย่างพฤติกรรมที่ถูกต้องและช่วย “ขจัดสิ่งล่อลวงออกไป”
คำพูดของแอนดี้สอดคล้องกับสติปัญญาที่พบในพระธรรมสุภาษิต“จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น” (22:6) แม้ว่าหลายคนอาจเข้าใจว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัญญา แต่จริงๆแล้วเป็นคำแนะนำสั่งสอน เราทุกคนถูกเรียกให้ตัดสินใจเชื่อในพระเยซูด้วยตนเอง แต่เราสามารถช่วยวางรากฐานจากพระวจนะโดยผ่านความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและพระคัมภีร์ และเราอธิษฐานทูลขอได้ที่เด็กๆในการดูแลของเราเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่พวกเขาจะเลือกต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเดินในทางของพระองค์ ไม่ใช่ “ในทางของคนตลบตะแลง” (ข้อ 5)
โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชัยชนะที่เรามีเหนือ “สิ่งฉูดฉาด” เป็นคำพยานที่มีพลังมากเช่นกัน พระวิญญาณของพระเยซูทรงช่วยเราที่จะต่อต้านการทดลอง และหล่อหลอมชีวิตของเราให้เป็นแบบอย่างที่ควรค่าแก่การเลียนแบบ
ความกรุณาเล็กน้อย
อแมนด้าทำงานเป็นพยาบาลเยี่ยมไข้ที่ต้องสับเปลี่ยนไปตามศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหลายแห่ง เธอมักจะพารูบี้ลูกสาววัยสิบเอ็ดขวบไปทำงานด้วย รูบี้อยากหาอะไรทำจึงเริ่มถามผู้คนที่ศูนย์ว่า “ถ้าคุณสามารถขอสามสิ่ง คุณอยากได้อะไร” จากนั้นก็จดคำตอบของพวกเขาในสมุดของเธอ น่าประหลาดใจที่คำขอจำนวนมากคือสิ่งของเล็กน้อยอย่าง ไส้กรอกเวียนนา พายช็อกโกแลต ชีส และอโวคาโด รูบี้จึงเริ่มระดมทุนผ่านเว็บไซต์ GoFundMe เพื่อช่วยให้เธอเติมเต็มความปรารถนาอันเรียบง่ายของพวกเขา และเมื่อนำข้าวของไปมอบให้เธอจะกอดพวกเขา เธอพูดว่า “มันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ”
เมื่อเราสำแดงความเมตตาปรานีเหมือนรูบี้ เราก็สะท้อนให้เห็นถึงพระเจ้าของเราผู้ “ทรงพระเมตตากรุณา...และมีความรักมั่นคงอย่างอุดม” (สดด.145:8) นั่นเป็นเหตุให้อัครทูตเปาโลกำชับเราในฐานะประชากรของพระเจ้าว่า “จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12) เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระกรุณาอันยิ่งใหญ่แก่เรา เราจึงมีใจปรารถนาจะแบ่งปันพระกรุณาของพระองค์แก่ผู้อื่น และเมื่อเราตั้งใจทำเช่นนั้น เราก็ “สวม” ตัวเราไว้ด้วยสิ่งนั้น
เปาโลบอกเราต่อว่า “แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์” (ข้อ 14) ท่านเตือนว่าเราจะต้อง “กระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า” (ข้อ 17) และระลึกว่าสิ่งดีทุกอย่างมาจากพระเจ้า เมื่อเราสำแดงความกรุณาปรานีต่อผู้อื่น จิตวิญญาณของเราก็ได้รับการยกชูขึ้น