ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐอิลลินอยส์ ความรุนแรงในครอบครัวคิดเป็นร้อยละ 40 ของอาชญากรรมทั้งหมดในชุมชน ศิษยาภิบาลคนหนึ่งในพื้นที่กล่าวว่าปัญหานี้มักซ่อนอยู่ในชุมชนผู้เชื่อเพราะเป็นสิ่งที่คนไม่อยากพูดถึง ดังนั้น แทนที่จะหลีกเลี่ยงจากปัญหา ผู้รับใช้ในพื้นที่จึงเลือกที่จะดำเนินตามความเชื่อและกล้ารับมือกับปัญหาด้วยการเข้ารับการอบรมเพื่อที่จะมองให้ออกถึงสัญญาณของความรุนแรง และสนับสนุนองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรให้ช่วยจัดการกับปัญหานี้ ผู้รับใช้ท่านหนึ่งยอมรับถึงพลังแห่งความเชื่อและการลงมือปฏิบัติว่า “คำอธิษฐานและความเห็นอกเห็นใจของเรา ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม จะสร้างความแตกต่างที่เกิดผลได้”

เมื่อเอสเธอร์ราชินีแห่งเปอร์เซียลังเลที่จะพูดทักท้วงกฎหมายที่ให้สิทธิ์ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชนของเธอ ลุงของเธอจึงเตือนว่าถ้าเธอนิ่งเงียบ เธอและครอบครัวก็จะไม่รอดพ้นแต่จะพินาศ (อสธ.4:13-14) เมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องกล้าหาญและยืนหยัดแล้ว โมรเดคัยจึงถามขึ้นว่า “ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้” (ข้อ 14) ไม่ว่าเราจะถูกเรียกให้กล้าพูดเพื่อต่อต้านความอยุติธรรม หรือให้อภัยคนที่ทำให้เราทุกข์ยาก พระคัมภีร์รับรองกับเราว่าในสถานการณ์ที่ท้าทายเหล่านี้ พระเจ้าจะไม่มีวันละทิ้งหรือทอดทิ้งเราเลย (ฮบ.13:5-6) เมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในเวลาที่เรารู้สึกกลัว พระองค์จะประทาน “จิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา” เพื่อจะกระทำการที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ (2 ทธ.1:7)