ในระหว่างการทำพันธกิจกับนักโทษชายในเรือนจำที่มีการใช้ความรุนแรงมากที่สุดของแอฟริกาใต้ โจแอนนา แฟลนเดอร์ส โธมัส ได้เป็นพยานถึงฤทธิ์เดชของพระคริสต์ในการเปลี่ยนแปลงจิตใจ ในหนังสือชื่อ พระคุณที่หายไป ฟิลิป แยงซีได้อธิบายถึงประสบการณ์ของเธอว่า “โจแอนนาเริ่มออกไปเยี่ยมนักโทษทุกวัน ประกาศข่าวประเสริฐที่เรียบง่ายเรื่องการให้อภัยและคืนดีกับพวกเขา เธอได้รับความไว้วางใจจนพวกเขายอมเล่าประสบการณ์ในวัยเด็กที่ถูกล่วงละเมิดให้ฟัง และเธอบอกพวกเขาถึงวิธีที่ดีกว่าในการจัดการความขัดแย้ง จากสถิติของเรือนจำพบว่า ในปีก่อนที่เธอจะมาเยี่ยมมีการใช้ความรุนแรงกับผู้ต้องขังและผู้คุม 279 ครั้ง แต่ในปีถัดมาตัวเลขลดลงเหลือเพียง 2 ครั้ง”

เปาโลเขียนว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร.5:17) เราอาจไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเหมือนโจแอนนา แต่ฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตนี้เป็นพลังที่ให้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล เป็นสิ่งที่ถูกสร้างใหม่ ช่างเป็นความคิดที่น่าทึ่ง! การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่การเป็นเหมือนพระองค์ ซึ่งจะสิ้นสุดลงเมื่อเราได้พบพระองค์แบบหน้าต่อหน้า (ดู 1 ยน.3:1-3)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราเฉลิมฉลองชีวิตที่ถูกสร้างใหม่ แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าพระคริสต์ทรงจ่ายราคาเพื่อสิ่งนั้น ความตายของพระองค์ทำให้เรามีชีวิต “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร.5:21)