บ็อบและเอวอน พอตเตอร์เป็นคู่สามีภรรยาที่ชอบความสนุกสนาน พวกเขามีลูกชายเล็กๆ สามคนตอนที่ชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยนอันน่าอัศจรรย์ ในปี 1956 พวกเขาไปงานประกาศของบิลลี่ เกรแฮมในโอกลาโฮมาและมอบชีวิตให้พระคริสต์ ต่อมาพวกเขาอยากจะประกาศความเชื่อและความจริงของพระคริสต์แก่ผู้อื่น จึงเปิดบ้านทุกคืนวันเสาร์ให้นักเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนพระคัมภีร์ เพื่อนคนหนึ่งชวนผมไปและผมก็กลายเป็นแขกประจำของบ้านพอตเตอร์
นี่เป็นการเรียนพระคัมภีร์แบบเข้มข้น มีการเตรียมบทเรียนและท่องจำพระคัมภีร์ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตร ชื่นชมยินดีและมีเสียงหัวเราะ เราหนุนใจกันและกันและพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในช่วงเวลาเหล่านั้น
ผมติดต่อกับครอบครัวพอตเตอร์ตลอดหลายปี ได้รับการ์ดและจดหมายมากมายจากบ็อบที่มักลงท้ายว่า “ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้าปีติยิ่งกว่านี้ คือที่ได้ยินว่า บุตรทั้งหลายของข้าพเจ้า ประพฤติตามสัจธรรม” (3 ยอห์น 1:4) เช่นเดียวกับที่ยอห์นเขียนถึง “กายอัสที่รัก” (3 ยอห์น 1:1) บ็อบหนุนใจทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาให้ติดตามพระเจ้าต่อไป
ไม่กี่ปีก่อนผมไปร่วมพิธีไว้อาลัยบ็อบ ซึ่งเป็นเวลาแห่งความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยผู้คนที่ยังอยู่ในความเชื่อ ทั้งนี้เป็นเพราะคู่หนุ่มสาวที่เปิดบ้านและเปิดใจเพื่อช่วยผู้อื่นให้พบพระเจ้า
นิรนาม เมื่อ 06/05/2016 ที่ 11:51 am
ขอขอบพระคุณ พระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในสุภาษิต บทที่26:11สุนัขหวนกลับไปหาสิ่งที่มันสำรอกออกมาฉันใด คนโง่ก็กลับไปทำสิ่งโง่เขลาซ้ำซากฉันนั้น
เหมือนในฉบับ1971 ว่า คนโง่ที่ทำความโง่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เหมือนสุนัขที่กลับไปหาสิ่งที่มันสำรอกออกมา
ในพระธรรม 2เปโตiบทที่2ข้อ22 พฤติกรรมได้เกิดกับเขาตามสุภาษิตซึ่งเป็นความจริงที่ว่า สุนัขเลียกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และสุกรที่คนล้างมันให้สะอาด แล้วกลับลุยลงไปนอนในปลักอีก
และพระเยซูได้พูดใน มัทธิวบทที่ 7ข้อ6 “อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
ข้อความเหล่านี้ ไม่ได้ หมายตวามว่า เราควรเลิกเผยพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้ที่ยังไม่เชื่อ เราควรประกาศข่าวประเสริฐเสมอๆๆ แต่เราควรเฉลียวฉลาด และใช้วิจารณญาณว่า ควรสอนอะไรแก่ใคร จะได้ไม่เสียเวลาเปล่าๆๆ อาเมนๆๆ