Category  |  ODB

พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า

ราเล่ย์ เพื่อนของผมกำลังพุ่งทะยานเข้าสู่วันครบรอบวันเกิดปีที่แปดสิบห้า! เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผมตั้งแต่เราได้คุยกันครั้งแรกเมื่อกว่าสามสิบห้าปีก่อน เมื่อเร็วๆนี้เขาเล่าว่าตั้งแต่เกษียณ เขาเขียนต้นฉบับหนังสือเสร็จหนึ่งเล่ม และเริ่มต้นงานพันธกิจอื่นอีก ผมรู้สึกทึ่งแต่ไม่แปลกใจ

ในพระคัมภีร์ คาเลบในวัยแปดสิบห้าก็ยังไม่พร้อมที่จะหยุดเช่นกัน ความเชื่อและการอุทิศตนต่อพระเจ้าค้ำจุนท่านตลอดหลายสิบปีของการใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร และในการสู้รบเพื่อรักษามรดกที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอิสราเอล ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรง เช่นเดียวกับวันที่โมเสสใช้ให้ข้าพเจ้าไป กำลังของข้าพเจ้าในการทำศึกสงคราม หรือออกไปและเข้ามาเดี๋ยวนี้ก็เป็นเหมือนครั้งนั้น” (ยชว.14:11) ท่านจะเอาชนะด้วยวิธีใด คาเลบประกาศว่า “พระเจ้าจะทรงสถิตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขับไล่เขาออกไปได้ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว” (ข้อ 12)

พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์อย่างสุดใจโดยไม่เกี่ยงเรื่องอายุ สถานะในชีวิต หรือสถานการณ์ เราเห็นพระเจ้าได้ในองค์พระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของเรา หนังสือพระกิตติคุณทำให้เราเกิดความเชื่อในพระเจ้าผ่านสิ่งที่เรามองเห็นในพระคริสต์ พระเยซูทรงสำแดงความห่วงใยและพระเมตตาของพระเจ้าต่อทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ดังที่ผู้เขียนฮีบรูยอมรับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว” (ฮบ.13:6) ไม่ว่าเราจะเป็นเด็กหรือคนชรา คนอ่อนแอหรือแข็งแรง ถูกพันธนาการหรือเป็นอิสระ กระฉับกระเฉงหรือเดินกะเผลก แล้วจะมีอะไรที่ขัดขวางไม่ให้เราขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในวันนี้ได้

เอกภาพบนความหลากหลายในพระคริสต์

ในบทความเรื่อง “การรับใช้และออทิสติก” ของศาสตราจารย์ดาเนียล โบว์แมน จูเนียร์ ได้บรรยายถึงความยากลำบากในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรับใช้ในคริสตจักรของเขาในฐานะคนที่มีภาวะออทิสติก เขาอธิบายว่า “ในการก้าวไปข้างหน้าในแต่ละวัน คนที่มีอาการออทิสติกต้องสร้างทางเดินใหม่ทุกครั้ง เป็นเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งต้องคำนึงถึง...พลังงานทางจิตใจ อารมณ์ และร่างกาย...ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวเพื่อจะพัก การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและระดับความสบาย...ช่วงเวลาของวันนั้นว่าเราได้รับการชื่นชมในจุดเด่นของเรา และได้รับการอำนวยความสะดวกในสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ หรือเราถูกแบ่งแยกอันเนื่องมาจากทั้งภาวะการรับรู้ที่บกพร่องของเราและเรื่องอื่นๆอีกมากมาย” โบว์แมนเขียนถึงการตัดสินใจเหล่านี้ว่า สำหรับคนส่วนใหญ่ “ในขณะที่การปรับเวลาและพลังงานของคนอื่นอาจไม่ส่งผลร้ายแรงต่อพวกเขา แต่การตัดสินใจแบบเดียวกันนั้นอาจทำให้ผมแย่ได้”

โบว์แมนเชื่อว่าภาพของการผูกพันซึ่งกันและกันที่เปาโลอธิบายไว้ใน 1 โครินธ์ 12 อาจเป็นวิธีแก้ปัญหา ในข้อ 4-6 เปาโลบรรยายว่าพระเจ้ามอบของประทานให้กับประชากรแต่ละคนของพระองค์เป็นพิเศษเพื่อ “ประโยชน์ร่วมกัน” (ข้อ 7) แต่ละคนเป็นอวัยวะที่ “ขาดเสียไม่ได้” ในพระกายของพระคริสต์ (ข้อ 22) เมื่อคริสตจักรเข้าใจธรรมชาติและของประทานที่พระเจ้าทรงมอบให้คนแต่ละคนแล้ว แทนที่จะกดดันให้ทุกคนรับใช้ในลักษณะเดียวกัน พวกเขาสามารถสนับสนุนสมาชิกของตนให้รับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสมกับของประทานของพวกเขา

โดยวิธีนี้ แต่ละคนจะจำเริญขึ้นและพบความสมบูรณ์ และรู้สึกมั่นคงในบทบาทที่มีคุณค่าของตนในพระกายของพระคริสต์ (ข้อ 26)

พระเยซู ผู้สร้างสันติที่แท้จริง

ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1862 สงครามกลางเมืองในสหรัฐฯลุกลามอย่างรวดเร็ว กองกำลังฝ่ายสหภาพและฝ่ายสมาพันธรัฐตั้งค่ายห่างกัน 640 เมตรอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสโตนส์ในรัฐเทนเนสซี ขณะที่พวกเขาผิงไฟอยู่รอบกองไฟ ทหารฝ่ายสหภาพหยิบไวโอลินและฮาร์โมนิก้าขึ้นมาและเริ่มบรรเลงเพลง “แยงกี้ดูเดิ้ล” ทหารฝ่ายสมาพันธรัฐเล่นตอบกลับมาด้วยเพลง “ดิ๊กซี่” ที่พิเศษคือทั้งสองฝ่ายร่วมกันบรรเลงเพลง“บ้านอันแสนอบอุ่น” อย่างพร้อมเพรียงในตอนท้าย ศัตรูคู่อาฆาตบรรเลงดนตรีร่วมกันในค่ำคืนอันมืดมิด เป็นภาพเพียงชั่วขณะของสันติภาพที่เกินจินตนาการ แต่การพักรบด้วยดนตรีไพเราะนั้นสั้นนัก เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาวางไวโอลินลงและหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมา มีทหารเสียชีวิต 24,645 นาย

ความพยายามของมนุษย์ในการสร้างสันติภาพลดน้อยลงอย่างเลี่ยงไม่พ้น ความเป็นปรปักษ์ยุติในที่แห่งหนึ่งเพื่อไปปะทุขึ้นในที่อีกแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งซึ่งได้รับการแก้ไขแล้วก็ไม่พ้นต้องพบกับความเสียใจอีกในเวลาต่อมา พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าคือผู้สร้างสันติภาพเพียงผู้เดียวที่เราไว้ใจได้ พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า “ท่านจะได้มีสันติสุขในเรา” (ยน.16:33) เรามีสันติสุขได้ในพระเยซู ในขณะที่เราร่วมในภารกิจการสร้างสันติภาพของพระองค์ แต่สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้โดย การคืนดีและการบังเกิดใหม่ในพระเจ้าเท่านั้น

พระคริสต์บอกว่าเราไม่สามารถหลีกหนีความขัดแย้งได้ พระองค์ตรัสว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก” ความขัดแย้งมีอยู่มากมาย พระองค์ยังตรัสอีกว่า “แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” (ข้อ 33) ในขณะที่ความพยายามของเรามักจะไร้ผล พระเจ้าผู้ทรงรักเรา (ข้อ 27) ได้ทรงสร้างสันติภาพในโลกที่วุ่นวายนี้

ชุมชนในพระคริสต์

“ผมรู้ว่าวิธีเดียวที่จะประสบชัยชนะคือผมจะต้องลืมเรื่องของครอบครัว ภรรยา ลูกชาย และลูกสาวของผม” จอร์ดอนกล่าว “ผมพบว่าผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ พวกเขาถักทอเป็นเนื้อเดียวกับจิตใจและจิตวิญญาณของผม” จอร์ดอนอยู่ลำพังในพื้นที่ห่างไกล เขาเข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ที่ผู้เข้าแข่งขันต้องเอาชีวิตรอดกลางแจ้งโดยใช้เสบียงให้น้อยที่สุดและนานที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาต้องยอมแพ้ไม่ใช่หมีกริซลี อุณหภูมิที่จุดเยือกแข็ง การบาดเจ็บ หรือความหิวโหย หากแต่เป็นความเหงาที่ถาโถมและความปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวของเขา

เราอาจมีทักษะที่จำเป็นทุกอย่างสำหรับการเอาชีวิตรอดในถิ่นทุรกันดาร แต่การแยกตัวเองออกจากชุมชนจะทำให้เราล้มเหลวอย่างแน่นอน ผู้มีปัญญาที่เขียนพระธรรมปัญญาจารย์ กล่าวว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่า...อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น” (4:9-10) ชุมชนที่ให้เกียรติพระคริสต์นั้นแม้จะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ชุมชนนั้นก็มีความสำคัญที่ช่วยให้เราอยู่รอด เราไม่มีทางที่จะต่อสู้กับการทดลองของโลกนี้ได้หากเราพยายามที่จะจัดการด้วยตัวเอง ผู้ที่ตรากตรำทำงานอยู่ตัวคนเดียวก็ตรากตรำโดยเปล่าประโยชน์ (ข้อ 8) หากไม่มีชุมชนแล้ว เราจะเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้น (ข้อ 11-12) เมื่อเปรียบกับเชือกเส้นเดียว “เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้” (ข้อ 12) ของประทานแห่งชุมชนที่มีความรักและมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางไม่เพียงคอยหนุนน้ำใจเรา แต่ยังทำให้เรามีกำลังที่จะอยู่รอดแม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย เราต่างต้องการกันและกัน

ความขมขื่นจากขนมหวานที่ขโมยมา

โจรในเยอรมนีขโมยรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุช็อกโกแลตแช่เย็นไว้เต็มคันกว่า 20 ตัน ขนมหวานที่ถูกขโมยมีมูลค่าโดยประมาณที่ 80,000 ดอลล่าร์ ตำรวจท้องที่ร้องขอให้ใครก็ตามที่ได้รับช็อกโกแลตจำนวนมากผ่านช่องทางแปลกๆ ให้รายงานพวกเขาทันที แน่นอนว่าคนที่ขโมยขนมหวานจำนวนมหาศาลนั้นไปจะต้องพบกับผลที่ขมขื่นและไม่น่ารื่นรมย์หากถูกจับได้และถูกดำเนินคดี!

พระธรรมสุภาษิตยืนยันหลักการนี้ว่า “อาหารที่ได้มาด้วยการหลอกลวงมีรสหวานแก่ผู้ได้มา แต่ภายหลังปากของเขาจะมีแต่กรวด” (20:17) สิ่งที่เราได้มาโดยการหลอกลวงหรือในทางที่ผิดอาจดูหอมหวานในตอนแรก เพราะมีสีสันจากความตื่นเต้นและความเพลิดเพลินชั่วครู่ชั่วยาม แต่ในที่สุดรสชาติจะจางหายไปและการหลอกลวงของเราจะนำไปสู่การถูกทิ้งให้รู้สึกโหยหาและความยากลำบาก ผลที่ตามมาอันน่าขมขื่นจากความรู้สึกผิด ความกลัว และความบาปสามารถทำลายชีวิตและชื่อเสียงของเราได้ในที่สุด “แม้เด็กๆก็แสดงตัวโดยการประพฤติของเขา ว่าสิ่งที่เขากระทำจะบริสุทธิ์และถูกต้องหรือไม่” (ข้อ 11) ขอให้คำพูดและการกระทำของเราเปิดเผยให้เห็นถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ต่อพระเจ้า ไม่ใช่ความขมขื่นจากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว

เมื่อเราถูกล่อลวง จงทูลขอให้พระเจ้าเสริมกำลังเราและช่วยให้เรายังคงสัตย์ซื่อต่อพระองค์ พระองค์ทรงสามารถช่วยให้เรามองเห็นเบื้องหลังของ “ความหอมหวาน” เพียงชั่วขณะจากการที่เรายอมแพ้ต่อการล่อลวง และทรงนำเราให้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมาในระยะยาวจากการเลือกของเรา

ครอบครัวสำคัญ

น้องสาว น้องชายและตัวฉันต่างบินจากรัฐที่แต่ละคนอาศัยอยู่เพื่อไปร่วมงานศพของคุณลุง และแวะเยี่ยมคุณย่าวัยเก้าสิบปีของพวกเรา ท่านเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง สูญเสียความสามารถในการพูด และใช้มือขวาได้เพียงข้างเดียว ขณะที่เรายืนอยู่รอบเตียงของท่าน ท่านเอื้อมมือข้างนั้นมาจับมือเราแต่ละคนไปวางซ้อนกันที่หัวใจของท่านแล้วตบเบาๆ จากท่าทางที่ไร้ซึ่งคำพูดนี้ คุณย่ากำลังสื่อสารกับเราถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างมีปัญหาและห่างเหินระหว่างพี่น้องว่า “ครอบครัวสำคัญ”

ในคริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้า เราอาจห่างเหินกันได้เช่นกัน เราอาจปล่อยให้ความขมขื่นแยกเราออกจากกัน ผู้เขียนฮีบรูกล่าวถึงความขมขื่นที่ทำให้เอซาวแยกจากน้องชายของตน (ฮบ.12:16) และท้าทายพวกเราในฐานะพี่น้องให้จับมือกันไว้ในครอบครัวของพระเจ้า “จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย” (ข้อ 14) ในที่นี้คำว่า จงอุตส่าห์ สื่อถึงการลงทุนด้วยความตั้งใจและแน่วแน่เพื่อสร้างสันติกับพี่น้องชายหญิงในครอบครัวของพระเจ้า ความอุตสาหะนี้จึงหมายถึงสำหรับทุกคน

ครอบครัวมีความสำคัญ ทั้งครอบครัวทางโลกและครอบครัวของผู้เชื่อในพระเจ้า เราจะอุตส่าห์ลงทุนทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อจับมือกันไว้ได้ไหม

หุบเขาแห่งการสรรเสริญ

นักกวีชื่อวิลเลียม คูว์เปอร์ได้ต่อสู้กับภาวะซึมเศร้ามาเกือบทั้งชีวิต หลังจากการพยายามฆ่าตัวตาย เขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลจิตเวช แต่ด้วยการดูแลของแพทย์คริสเตียนที่นั่นทำให้คูว์เปอร์มีความเชื่อในพระเยซูซึ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและมีความสำคัญสำหรับชีวิตของเขา หลังจากนั้นไม่นานคูว์เปอร์ได้รู้จักกับศิษยาภิบาลและนักเขียนเพลงนมัสการชื่อ จอห์น นิวตัน ผู้สนับสนุนให้เขามาร่วมกันแต่งเพลงนมัสการสำหรับคริสตจักรของพวกเขา หนึ่งในเพลงนมัสการที่คูว์เปอร์แต่งคือ “พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ” ซึ่งมีถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากบททดสอบที่เขาเคยผ่านมาว่า “ท่านวิสุทธิชนผู้หวาดกลัว จงมีใจกล้าขึ้นอีกครั้ง เมฆนั้นที่ท่านเกรงกลัว ยิ่งใหญ่ด้วยพระกรุณา และจะตกลงมาเป็นพระพรบนศีรษะของท่าน”

ประชาชนยูดาห์ก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าโดยไม่คาดคิดเช่นเดียวกับคูว์เปอร์ เมื่อกองทัพของศัตรูรุกรานประเทศของพวกเขา กษัตริย์เยโฮชาฟัททรงเรียกประชาชนให้มารวมกันเพื่อทูลอ้อนวอน ขณะที่กองทัพของยูดาห์ยกทัพออกไป บรรดาคนที่อยู่ด้านหน้าก็สรรเสริญพระเจ้า (2พศด.20:21) กองทัพผู้รุกรานก็ฆ่าฟันกันเอง และ “ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้...เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน” (ข้อ 24-25)

ในวันที่สี่ สถานที่ที่กองทัพปรปักษ์ผู้รุกรานใช้เป็นที่รวมพลต่อสู้ประชากรของพระเจ้าได้ถูกเรียกว่าหุบเขาเบราคาห์ (ข้อ 26) แปลตามตัวอักษรคือ “หุบเขาแห่งการสรรเสริญ” หรือ “การอวยพร” นี่เป็นการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พระเมตตาของพระเจ้านั้นสามารถเปลี่ยนกระทั่งหุบเขาที่ยากลำบากที่สุดของเรา ให้เป็นสถานที่แห่งการสรรเสริญเมื่อเรามอบถวายมันแด่พระองค์

ความรักอ่อนโยนของพระเจ้า

ในปี 2017 มีคลิปวิดีโอของพ่อคนหนึ่งที่ปลอบลูกชายวัย 2 เดือนขณะที่ทารกรับการฉีดวัคซีนตามปกติ วิดีโอนี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเพราะแสดงให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูกของเขา หลังจากที่พยาบาลฉีดวัคซีนเสร็จ ผู้เป็นพ่อก็ค่อยๆอุ้มลูกชายขึ้นไว้แนบแก้ม และเด็กชายก็หยุดสะอื้นภายในเวลาไม่กี่วินาที แทบไม่มีสิ่งใดที่ทำให้อุ่นใจไปกว่าการดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนของพ่อแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรัก

ในพระคัมภีร์มีคำอธิบายงดงามมากมายเกี่ยวกับพระเจ้าในฐานะพ่อผู้เปี่ยมด้วยความรัก เป็นภาพที่แสดงถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อบรรดาลูกของพระองค์ โฮเชยาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมได้รับข้อความเพื่อส่งถึงคนอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรทางตอนเหนือในช่วงเวลาที่อาณาจักรถูกแบ่งแยก ท่านเรียกประชาชนให้กลับคืนสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า โฮเชยาเตือนคนอิสราเอลให้นึกถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา ขณะที่ท่านบรรยายถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นพระบิดาผู้อ่อนโยน “ครั้งเมื่ออิสราเอลยังเด็กอยู่ เราก็รักเขา” (ฮชย.11:1) และ “เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้” (ข้อ 3)

คำมั่นสัญญาเดียวกันนี้ที่ว่าพระเจ้าจะทรงดูแลเราด้วยความรักก็เป็นจริงสำหรับเราด้วย ไม่ว่าเราจะแสวงหาการดูแลอันอ่อนโยนจากพระองค์หลังจากช่วงเวลาที่เราเคยปฏิเสธความรักของพระองค์ หรือเพราะความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานในชีวิตของเรา พระองค์ก็ยังทรงเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ (1ยน.3:1) และอ้อมแขนแห่งการปลอบโยนของพระองค์ก็เปิดออกต้อนรับเรา (2คร.1:3-4)

การเลือกนั้นสำคัญ

ศิษยาภิบาลดาเมียนวางแผนที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้ป่วยหนักสองคนซึ่งเลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน ที่โรงพยาบาลแห่งแรกเป็นผู้หญิงซึ่งได้รับความรักจากครอบครัว การบริการชุมชนอย่างไม่เห็นแก่ตัวทำให้เธอเป็นที่รักของคนมากมาย ผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆพากันมาอยู่รายล้อมเธอ และนมัสการ อธิษฐาน และห้องนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ญาติของสมาชิกในคริสตจักรของดาเมียนก็กำลังจะเสียชีวิตเช่นกัน จิตใจที่แข็งกระด้างของเขาทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบาก และครอบครัวที่ยุ่งเหยิงของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับผลจากการตัดสินใจที่แย่และการกระทำที่ไม่ถูกต้องของเขา ความแตกต่างในบรรยากาศทั้งสองแบบสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ชีวิตของคนทั้งสอง

ผู้ที่ไม่ได้พิจารณาว่าชีวิตของตนกำลังมุ่งหน้าไปทางไหนมักจะพบว่าพวกเขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด ไม่พึงประสงค์ และโดดเดี่ยว สุภาษิต 14:12 บันทึกไว้ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” ไม่ว่าเด็กหรือคนชรา คนป่วยหรือสุขภาพดี คนรวยหรือยากจน ล้วนยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนการดำเนินชีวิตของเราใหม่ เส้นทางนี้จะนำเราไปสู่ที่ใด พระเจ้าทรงได้รับเกียรติหรือไม่ คนอื่นได้รับการช่วยเหลือหรือได้รับความวุ่นวาย เป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่อในพระเยซูหรือไม่

การเลือกมีความสำคัญ และพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงช่วยเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อเราหันไปหาพระองค์ผ่านทางองค์พระบุตร คือพระเยซูผู้ตรัสว่า “จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา