ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Tim Gustafson

มรดกนิรันดร์

ขณะที่พายุทรายดัสท์ โบว์พัดถล่มสหรัฐอเมริกาในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ จอห์น มิลเบิร์น เดวิสซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไฮวาธา รัฐแคนซัสได้ตัดสินใจสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เดวิสเป็นเศรษฐีที่สร้างฐานะมาด้วยตนเองและไม่มีลูก เขาอาจใช้เงินเพื่อทำการกุศลหรือการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เขากลับจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของเขาเองและภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วจำนวนสิบเอ็ดรูปไว้ในสุสานท้องถิ่น

“คนในแคนซัสเกลียดผม” เดวิสบอกกับนักข่าวที่ชื่อเออร์นี่ ไพล์ ชาวเมืองต้องการให้เขาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงพยาบาล สระว่ายน้ำ หรือสวนสาธารณะ แต่เขาพูดเพียงว่า “มันเป็นเงินของผม ผมจะใช้จ่ายมันตามที่ผมพอใจ”

กษัตริย์ซาโลมอนผู้มั่งคั่งที่สุดในยุคสมัยของพระองค์ได้เขียนไว้ว่า “คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน” และ “เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น” (ปญจ.5:10-11) ซาโลมอนตระหนักดีถึงแนวโน้มที่เสื่อมทรามของความมั่งคั่ง

อัครทูตเปาโลเองก็เข้าใจถึงการล่อลวงของความมั่งคั่งและเลือกที่จะลงทุนชีวิตของท่านเพื่อเชื่อฟังพระเยซู ขณะรอการประหารชีวิตในคุกโรมัน ท่านเขียนอย่างผู้มีชัยชนะว่า “เพราะว่าข้าพเจ้ากำลังจะตกเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว...ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (2 ทธ.4:6-7)

สิ่งที่คงอยู่ไม่ใช่สิ่งที่เราสกัดด้วยหินหรือสะสมไว้เพื่อตัวเราเอง แต่เป็นสิ่งที่เรามอบให้แก่กันด้วยความรักและมอบให้กับพระองค์ ผู้ทรงสำแดงให้เราเห็นถึงวิธีที่จะรัก

แม้แต่พระธรรมเลวีนิติ

หัวข้อคือพระธรรมเลวีนิติ และผมมีเรื่องจะสารภาพ “ผมอ่านข้ามไปเยอะมาก” ผมบอกกับกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ “ผมจะไม่อ่านเกี่ยวกับเรื่องโรคผิวหนังอีก”

นั่นคือตอนที่เดฟเพื่อนของผมพูดขึ้นว่า “ผมรู้จักชายคนหนึ่งที่เชื่อในพระเยซูเพราะพระธรรมตอนนั้น” เดฟอธิบายว่า เพื่อนของเขาเป็นแพทย์และเป็นพวกที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า เขาตัดสินใจว่าก่อนที่เขาจะปฏิเสธพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง เขาควรอ่านด้วยตัวเองดีกว่า หมวดเรื่องโรคผิวหนังในพระธรรมเลวีนิติทำให้เขาประทับใจ มีรายละเอียดที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับแผลที่แพร่เชื้อได้และที่ไม่แพร่เชื้อ (13:1-46) และวิธีการรักษา (14:8-9) เขารู้ว่าความรู้ในเรื่องนี้ล้ำหน้ากว่าการแพทย์ในสมัยนั้นมาก แต่กลับมีเรื่องนี้ในพระธรรมเลวีนิติ เขาคิดว่า ไม่มีทางที่โมเสสจะรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ นายแพทย์เริ่มพิจารณาว่าโมเสสได้รับข้อมูลจากพระเจ้าจริงๆ ในที่สุดเขาจึงเชื่อในพระเยซู

ถ้าบางส่วนของพระคัมภีร์ทำให้คุณเบื่อหน่าย ผมก็รู้สึกเช่นกัน แต่ทุกอย่างที่กล่าวในนั้นมีเหตุผล พระธรรมเลวีนิติเขียนขึ้นเพื่อให้คนอิสราเอลรู้ว่าจะดำเนินชีวิตกับพระเจ้าและมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เมื่อเราเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ เราก็ได้เรียนรู้จักพระเจ้าพระองค์เอง

อัครทูตเปาโลบันทึกว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม” (2ทธ.3:16) ขอให้เราอ่านต่อไป แม้ว่าจะเป็นพระธรรมเลวีนิติก็ตาม

ส่งเสริมศักดิ์ศรี

เพื่อนสาวของแม็กกี้ปรากฏตัวในคริสตจักรด้วยชุดที่ดูน่าตกใจ แต่ก็ไม่ควรมีใครแปลกใจเพราะเธอเป็นหญิงขายบริการ เพื่อนผู้มาเยือนของแม็กกี้ขยับตัวในที่นั่งของเธออย่างกระสับกระส่าย สลับกับคอยดึงกระโปรงที่สั้นเกินไปและกอดอกอย่างระวังตัว

“โอ เธอหนาวเหรอ” แม็กกี้ถาม เพื่อหันเหความสนใจจากการแต่งตัวของเธออย่างชาญฉลาด “เอานี่! เอาผ้าคลุมไหล่ของฉัน” แม็กกี้ได้แนะนำให้คนจำนวนหลายสิบคนมารู้จักพระเยซูอย่างง่ายๆ โดยชวนพวกเขามาคริสตจักรและช่วยให้พวกเขารู้สึกสบายใจ ข่าวประเสริฐมีหนทางส่องสว่างผ่านวิธีการที่เธอทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ เธอปฏิบัติต่อทุกคนอย่างมีศักดิ์ศรี

เมื่อผู้นำทางศาสนานำตัวผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่ต่อพระพักตร์พระเยซูด้วยข้อหารุนแรงฐานล่วงประเวณี (ซึ่งถูกต้อง) พระคริสต์ก็ไม่ได้แสดงความสนใจเธอจนกระทั่งทรงทำให้พวกผู้กล่าวหาเธอละจากไป เมื่อพวกเขาไปแล้วพระองค์จะทรงต่อว่าเธอก็ได้ แต่กลับทรงถามคำถามง่ายๆ สองข้อ “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด” และ “ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ” (ยน.8:10) แน่นอนว่าคำตอบของคำถามข้อหลัง คือ ไม่มีใครเลย พระเยซูจึงประทานข่าวประเสริฐแก่เธอด้วยข้อความสั้นๆ เพียงประโยคเดียวว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน” และคำเชื้อเชิญที่ว่า “จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก” (ข้อ 11)

อย่าประเมินพลังของความรักแท้ที่มีต่อผู้คนต่ำเกินไป เพราะความรักเช่นนั้นจะไม่กล่าวโทษ ทั้งยังส่งเสริมความมีศักดิ์ศรีและการให้อภัยแก่ทุกคน

ความหมายของมดยอบ

วันนี้เป็นวันเอพิฟานี (Epiphany) คือวันระลึกถึงเหตุการณ์ที่มีบรรยายไว้ในบทเพลงคริสต์มาสที่ชื่อ “เราทั้งสามคือพวกโหรา” เมื่อนักปราชญ์ชาวต่างชาติพากันมาหาพระกุมารเยซู และดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะมีมากกว่าสามคน

แต่ของขวัญนั้นมีสามอย่าง และบทเพลงนี้พูดถึงของขวัญแต่ละอย่าง เมื่อโหราจารย์มาถึงเมืองเบธเลเฮม “แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ” (มธ.2:11) ของขวัญนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงภารกิจของพระเยซู ทองคำแสดงถึงบทบาทของพระองค์ในฐานะกษัตริย์ กำยานผสมกับเครื่องหอมที่เผาในพระวิหารหมายถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ส่วนมดยอบที่ใช้รักษาสภาพศพนั้นทำให้เราต้องหยุดคิด

บทที่สี่ของเนื้อเพลงกล่าวว่า “มดยอบเป็นของฉัน กลิ่นหอมอันแสนขมเป็นกลิ่นแห่งชีวิตอันหมองหม่น ความเศร้าโศก เสียงถอนหายใจ โลหิตที่หลั่งไหล การสิ้นพระชนม์ ได้ถูกผนึกไว้ในสุสานหินอันเยือกเย็น”(ถอดความตามต้นฉบับภาษาอังกฤษ) เราคงไม่เขียนฉากนี้เข้าไปในเรื่อง แต่พระเจ้าได้ทรงเขียนเอาไว้ ความตายของพระเยซูเป็นศูนย์กลางแห่งความรอดของเรา แม้แต่เฮโรดก็ยังพยายามจะประหารพระเยซูขณะที่พระองค์ยังเป็นเด็ก (ข้อ 13)

บทสุดท้ายของเพลงนี้ผสานทั้งสามสิ่งเข้าด้วยกันว่า “ดูเถิด บัดนี้พระองค์ทรงพระเกียรติ ทรงเป็นราชา เป็นพระเจ้า และเป็นเครื่องบูชา” และนี่ทำให้เรื่องราวคริสต์มาสจบลงอย่างสมบูรณ์ จุดประกายให้เราอดไม่ได้ที่จะร้องตอบว่า “ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา ดังก้องทั่วผืนดินและท้องฟ้า”

แล้วพระบุตรทรงเป็นขึ้นจากความตาย

นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของเออร์เนสท์ เฮมมิ่งเวย์มีจุดเด่นของเรื่องเป็นกลุ่มเพื่อนนักดื่มที่เพิ่งรอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกเขามีแผลเป็นตามร่างกายและในจิตใจจากหายนะของสงคราม และพยายามบรรเทาด้วยการกินดื่ม การผจญภัยอันน่าตื่นเต้น และมีสัมพันธ์กับผู้หญิงไปทั่ว โดยทุกครั้งจะมีเครื่องดื่มมึนเมาที่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นด้านชา ไม่มีใครมีความสุขเลย

หนังสือของเฮมมิงเวย์เล่มนี้ชื่อ แล้วดวงตะวันก็ฉายแสง ซึ่งมาจากพระธรรมปัญญาจารย์ข้อนี้ (1:5) เมื่อกษัตริย์ซาโลมอนเอ่ยถึงพระองค์เองว่าเป็น “ปัญญาจารย์” (ข้อ 1) พระองค์สังเกตเห็นว่า “สารพัดอนิจจัง” (ข้อ 2) และถามว่า “ที่มนุษย์ทำงาน...เขาได้ประโยชน์อะไรจากงานที่เขาทำนั้น” (ข้อ 3) ซาโลมอนเห็นการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ลมพัดหมุนเวียนไป แม่น้ำไหลไปสู่ทะเลไม่เคยหยุด แต่ทะเลก็ไม่เคยเต็ม (ข้อ 5-7) และในท้ายที่สุดทุกอย่างก็ถูกลืม (ข้อ 11)

ทั้งเฮมมิ่งเวย์และปัญญาจารย์บอกให้เราคิดถึงความว่างเปล่าอันไร้ประโยชน์จากการมีชีวิตอยู่เพื่อชีวิตนี้เท่านั้น แต่ซาโลมอนก็ได้ร้อยเรียงคำแนะนำอันชาญฉลาดเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ในพระธรรมเล่มนี้ว่า ความมั่นคงถาวรและความหวังที่แท้จริงนั้นมีอยู่ ปัญญาจารย์แสดงให้เห็นตัวตนแท้จริงของเรา และยังแสดงให้เห็นด้วยว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ซาโลมอนตรัสว่า “สารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์” (3:14) และเพราะเหตุนี้เราจึงมีความหวังอันยิ่งใหญ่ เพราะพระเจ้าทรงประทานของขวัญให้กับเราคือพระเยซูพระบุตรของพระองค์

หากไม่มีพระเจ้าแล้ว เราก็เคว้งคว้างอยู่กลางทะเลที่ไม่มีจุดสิ้นสุดและไม่อาจเติมเต็มความสุขในจิตใจเราได้ แต่โดยพระเยซูพระบุตรผู้เป็นขึ้นจากตาย เราจึงได้คืนดีกับพระองค์ และค้นพบความหมาย คุณค่า และเป้าหมายของเรา

ยอมจำนนต่อพระเยซู

ในปีค.ศ. 1951 แพทย์ประจำตัวของโจเซฟ สตาลินแนะนำให้เขาลดการทำงานลงเพื่อรักษาสุขภาพ ผู้นำสหภาพโซเวียตกลับกล่าวหาแพทย์ว่าเป็นสายลับและจับกุมเขา ทรราชผู้กดขี่ผู้คนมากมายด้วยคำโกหกไม่อาจยอมรับความจริง และเช่นที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้ง เขากำจัดคนที่บอกความจริงกับเขา แต่ความจริงก็มีชัยชนะอยู่วันยังค่ำ สตาลินเสียชีวิตลงในปีค.ศ. 1953

ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ซึ่งถูกจับและถูกตีตรวนเพราะเผยพระวจนะถึงเหตุร้าย (ยรม.38:1-6; 40:1) ทูลกษัตริย์แห่งยูดาห์ถึงสิ่งที่จะเกิดแก่กรุงเยรูซาเล็มตรงๆ “ขอฝ่าพระบาทเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ตามสิ่งซึ่งข้าพระบาทได้ทูลฝ่าพระบาท” ท่านกล่าวต่อกษัตริย์เศเดคียาห์ (38:20) หากไม่ยอมจำนนต่อกองทัพที่มาล้อมกรุงก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง “เขาจะพาบรรดาสนมและมเหสี และบุตรของฝ่าพระบาทไปให้คนเคลเดีย” เยเรมีย์เตือน “และฝ่าพระบาทเองก็จะไม่ทรงรอดไปจากมือของเขาทั้งหลาย” (ข้อ 23)

เศเดคียาห์ไม่ตอบสนองตามความจริงนั้น ในที่สุดพวกบาบิโลนก็จับกุมกษัตริย์ ฆ่าบรรดาบุตรชายของท่าน และเผากรุงเสีย (บทที่ 39)

ที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนต้องเจอกับภาวะลำบากใจแบบเศเดคียาห์ เราติดอยู่ในกำแพงแห่งความบาปในชีวิตและการตัดสินใจผิดพลาดของเราเอง บ่อยครั้งเราทำให้เรื่องแย่ลงโดยหลีกเลี่ยงผู้คนที่บอกความจริงเกี่ยวกับตัวเรา สิ่งที่เราต้องทำมีเพียงยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ผู้ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน.14:6)

รองเท้าบูทนำโชค

ทอมรู้สึกถึงเสียง “คลิก” อันเยือกเย็นภายใต้รองเท้าคอมแบทของเขาเมื่อสายเกินไป เขากระโดดออกมาตามสัญชาตญาณด้วยพลังจากอะดรีนาลีน เจ้าวัตถุอันตรายที่ซ่อนอยู่ใต้ดินไม่ระเบิด ภายหลังหน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิดได้นำวัตถุระเบิดแรงสูงหนักราว 36 กิโลกรัมขึ้นมาจากจุดนั้น ทอมใส่รองเท้าบูทคู่นั้นจนมันขาด เขาเรียกมันว่า “รองเท้าบูทนำโชคของผม”

ทอมอาจยึดติดอยู่กับรองเท้าบูทคู่นั้นเพื่อระลึกถึงช่วงเวลาเฉียดตายของเขา แต่หลายคนมีแนวโน้มที่จะคิดว่าวัตถุต่างๆ “นำโชค” ได้ หรือแม้กระทั่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้มากกว่านั้นว่าสามารถ “ให้พร” ได้ เป็นเรื่องอันตรายเมื่อเราให้คุณค่ากับสิ่งของหรือแม้แต่สัญลักษณ์ว่าเป็นแหล่งพระพรของพระเจ้า

ชนชาติอิสราเอลเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยความยากลำบาก กองทัพชาวฟีลิสเตียเอาชนะพวกเขาในสงคราม เมื่ออิสราเอลใคร่ครวญถึงเหตุที่พวกเขาพ่ายแพ้ มีคนหนึ่งได้คิดถึงการนำ “หีบพันธสัญญาของพระเจ้า” มาในสนามรบ (1 ซมอ.4:3) ซึ่งดูเป็นความคิดที่ดี (ข้อ 6-9) เพราะหีบพันธสัญญาก็เป็นวัตถุที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์

แต่คนอิสราเอลมีมุมมองที่ไม่ถูกต้อง ด้วยตัวหีบพันธสัญญาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ เมื่อคนอิสราเอลวางความเชื่อไว้ที่วัตถุแทนการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้องค์เดียว พวกเขาก็ต้องทนทุกข์ต่อความพ่ายแพ้ที่แย่ยิ่งกว่าครั้งแรก และศัตรูได้เอาหีบพันธสัญญาไป (ข้อ 10-11)

สิ่งของที่ใช้ย้ำเตือนให้เราอธิษฐานหรือขอบคุณพระเจ้าสำหรับความประเสริฐของพระองค์นั้นไม่เป็นอันตราย แต่มันไม่ใช่แหล่งที่มาของพระพร แหล่งพระพรนั้นคือพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

คุ้มค่าที่จะติดตามพระเยซู

โรนิทมาจากครอบครัวเคร่งศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียน บทสนทนาเรื่องจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นเชิงวิชาการและไร้ชีวิตชีวา เธอพูดว่า “ฉันเพียรพยายามอธิษฐานทุกอย่าง แต่ฉันไม่ได้ยินเสียง (จากพระเจ้า)”

เธอเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ และค่อยๆเริ่มเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ โรนิทบรรยายถึงช่วงเวลานั้นว่า “ฉันได้ยินเสียงที่ชัดเจนในใจพูดว่า ‘เจ้าได้ยินพอแล้ว และได้เห็นมามากพอ ถึงเวลาที่จะเชื่อได้แล้ว’” แต่โรนิทพบกับปัญหา นั่นคือพ่อของเธอเอง “พ่อฉันตอบสนองราวกับภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิด”

ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ในโลกนี้ ฝูงชนติดตามพระองค์ (ลก.14:25) เราไม่รู้แน่ว่าฝูงชนต้องการอะไร แต่พระองค์ทรงมองหาสาวก และสิ่งนั้นมีราคาต้องจ่าย พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ข้อ 26) พระองค์ทรงเล่าถึงการสร้างตึกและตรัสถามว่า “จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนหรือ...” (ข้อ 28) พระเยซูไม่ได้ทรงหมายความว่าเราเกลียดชังครอบครัวจริงๆ แต่คือเราต้องเลือกพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใด พระองค์ตรัสว่า “ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ข้อ 33)

โรนิทรักครอบครัวของเธอมาก แต่เธอก็ยังตัดสินใจว่า “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันรู้แล้วว่ามันคุ้มค่า” คุณต้องเสียสละสิ่งใดเพื่อจะติดตามพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงนำคุณ

ฉันเป็นใครเล่า

กิซอมโบนั่งดูแคมป์ไฟ เขาคิดถึงคำถามสำคัญในชีวิตของตน ผมทำอะไรสำเร็จบ้าง และได้รับคำตอบอย่างทันควันว่า ที่จริงแล้วไม่มากเลย เขากลับมายังแผ่นดินเกิด รับใช้ในโรงเรียนที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าทึบซึ่งพ่อของเขาเริ่มต้นไว้ เขายังพยายามเขียนถึงเรื่องราวอันทรงพลังของพ่อที่รอดชีวิตจากสงครามกลางเมืองสองครั้ง ผมเป็นใครเล่าที่พยายามทำทั้งหมดนี้

ความหวาดหวั่นของกิซอมโบฟังดูคล้ายกับของโมเสส พระเจ้าเพิ่งมอบภารกิจให้โมเสส “เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์เพื่อจะได้พาประชากรของเรา คือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์” (อพย.3:10) โมเสสทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า” (ข้อ 11)

หลังคำแก้ตัวที่ไร้น้ำหนักของโมเสส พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” มันคือไม้เท้า (4:2) โมเสสโยนไม้เท้าลงที่พื้นตามคำสั่งของพระเจ้า ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และโมเสสหยิบมันขึ้นซึ่งขัดกับสัญชาตญาณของท่าน มันก็กลายเป็นไม้เท้าอีกครั้ง (ข้อ 4) โมเสสเผชิญหน้ากับฟาโรห์ได้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อันที่จริงท่านมี “พระ” องค์หนึ่งของอียิปต์คืองูอยู่ในมือของท่าน และพระทั้งหลายของอียิปต์ก็ไม่อาจทำอันตรายต่อพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวได้

กิซอมโบพิจารณาเรื่องโมเสสและสัมผัสได้ถึงคำตอบจากพระเจ้าว่า เจ้ามีเราและถ้อยคำของเรา เขาคิดถึงเพื่อนๆที่หนุนใจให้เขาเขียนเรื่องราวของพ่อ เพื่อคนอื่นจะเรียนรู้ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าในชีวิตของพ่อ เขาไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียว ด้วยตัวเราเองนั้นความพยายามอย่างเต็มที่ของเราไม่เพียงพอ แต่เรารับใช้พระเจ้าผู้ตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า” (3:12)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา