ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Amy Boucher Pye

ดวงตาที่มองเห็น

เจเนวีฟต้องเป็น “ดวงตา” ให้กับลูกทั้งสามคนของเธอ แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับพันธุกรรมต้อกระจก ทุกครั้งที่เธอพาพวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านในสาธารณรัฐเบนิน ทวีปแอฟริกาตะวันตก เธอคาดเด็กทารกไว้บนหลัง พร้อมจับแขนและมือของลูกคนโตอีกสองคนไว้และระวังอันตรายอยู่เสมอ ในวัฒนธรรมที่คนคิดว่าความพิการทางสายตาเกิดจากแม่มด เจเนวีฟรู้สึกสิ้นหวังและเธอร้องขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า

ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านของเธอบอกเธอเกี่ยวกับองค์กรชื่อเรือแห่งความเมตตา (Mercy Ships) ซึ่งเป็นพันธกิจที่จัดเตรียมการผ่าตัดที่จำเป็น เพื่อจะถวายเกียรติแด่พระเยซูผู้เป็นแบบอย่างการนำความหวังและการรักษามาสู่ผู้ขัดสน เธอติดต่อไปหาพวกเขาแม้ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะช่วยได้หรือไม่ เมื่อเด็กๆตื่นขึ้นหลังการผ่าตัด พวกเขามองเห็น!

เรื่องราวของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับการทรงอยู่เคียงข้างผู้ที่อยู่ภายใต้ความมืดและนำพวกเขามาถึงแสงสว่างของพระองค์เสมอ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ประกาศว่าพระเจ้าจะ “เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” (อสย.42:6) พระองค์จะ “เบิกตาคนที่ตาบอด” (ข้อ 7) ซึ่งไม่เพียงฟื้นฟูดวงตาฝ่ายร่างกาย แต่ฝ่ายจิตวิญญาณด้วย และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะ “ยุด” มือคนของพระองค์ไว้ (ข้อ 6) พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นและนำแสงสว่างมาสู่คนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในความมืด

ถ้าคุณรู้สึกว่าพ่ายแพ้ต่อความมืด จงยึดความหวังไว้โดยโอบกอดพระสัญญาแห่งพระบิดาที่รักของเรา และอธิษฐานขอให้แสงของพระองค์ส่องสว่างลงมา

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้วในวันนี้!

ก่อนที่ชาร์ลส์ ซีเมียนจะเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เขาชื่นชอบม้าและเสื้อผ้า และใช้เงินจำนวนมากไปกับเครื่องแต่งกายทุกปี แต่เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยให้เขาเข้าร่วมพิธีมหาสนิทที่จัดขึ้นเป็นประจำ เขาจึงเริ่มสำรวจสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หลังจากได้อ่านหนังสือหลายเล่มซึ่งเขียนโดยผู้เชื่อในพระเยซู เขาก็ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งในวันอาทิตย์อีสเตอร์ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1779 เขาร้องว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้วในวันนี้! ฮาเลลูยา! ฮาเลลูยา!” ขณะที่ความเชื่อในพระเจ้าเติบโตขึ้น เขาได้อุทิศตนในการศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐาน และร่วมประชุมนมัสการ

ในวันอีสเตอร์แรก หญิงสองคนที่ไปถึงอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูได้พบกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่นั่นพวกเธอได้เผชิญกับแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อทูตองค์หนึ่งกลิ้งก้อนหินออกไป ทูตสวรรค์กล่าวแก่หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่า พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้นั้น” (มธ.28:5-6) หญิงเหล่านั้นจึงนมัสการพระเยซูและวิ่งกลับไปบอกข่าวดีแก่สหายของตนด้วยความยินดีอย่างยิ่ง

การได้พบกับพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนยุคก่อนเท่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าจะพบกับเราที่นี่และตอนนี้ เราอาจได้พบกับการเผชิญหน้าอันน่าทึ่งเหมือนพวกผู้หญิงที่อุโมงค์หรือเหมือนกับชาร์ลส์ ซีเมียน หรืออาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด พระเยซูจะทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่เรา และเราสามารถวางใจได้ว่าพระองค์ทรงรักเรา

บัญญัติใหม่ให้รักกัน

ในประเพณีที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่สิบสาม สมาชิกราชวงศ์ในสหราชอาณาจักรจะมอบของขวัญแก่คนยากจนในวันพฤหัสก่อนวันศุกร์ประเสริฐ (Maundy Thursday) ธรรมเนียมปฏิบัตินี้มีต้นกำเนิดมาจากความหมายของคำว่า maundy ซึ่งมาจากคำว่า mandatum ในภาษาละติน ที่แปลว่า “คำสั่ง” คำสั่งที่มีการระลึกถึงนี้ก็คือบัญญัติใหม่ที่พระเยซูประทานแก่สหายของพระองค์ในคืนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ “ให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยน.13:34)

พระเยซูทรงเป็นผู้นำที่ทำหน้าที่ของผู้รับใช้เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าสหายของพระองค์ (ข้อ 5) และทรงบอกให้พวกเขาทำเช่นเดียวกัน “เราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย” (ข้อ 15) และในการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นคือการที่พระองค์ได้ทรงสละชีวิต และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (19:30) ด้วยพระเมตตาและความรัก พระองค์ได้ประทานพระองค์เองเพื่อให้เราได้ชื่นชมกับชีวิตที่ครบบริบูรณ์

ประเพณีการรับใช้ผู้ยากไร้ของราชวงศ์อังกฤษยังคงเป็นสัญลักษณ์ถึงการทำตามแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู เราอาจจะไม่ได้เกิดมาในสถานะที่พิเศษ แต่เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราก็เข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ และเราเองก็สำแดงความรักโดยการดำเนินชีวิตตามบัญญัติใหม่ของพระองค์ได้เช่นกัน เมื่อเราพึ่งพาพระวิญญาณของพระเจ้าให้ทรงเปลี่ยนแปลงเราจากภายใน เราก็สามารถหยิบยื่นความห่วงใย การยอมรับ และพระคุณ ให้กับผู้อื่นได้

รักศัตรู

เมื่อสงครามกลางเมืองในอเมริกาได้ก่อให้เกิดความรู้สึกขมขื่นมากมาย อับราฮัม ลินคอล์นจึงเห็นว่าควรจะพูดถึงสิ่งดีๆเกี่ยวกับฝ่ายใต้ คนที่ยืนฟังอยู่รู้สึกตกใจจึงถามว่าท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านตอบว่า “คุณผู้หญิง ข้าพเจ้าไม่ได้ทำลายศัตรูของข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าทำให้พวกเขาเป็นมิตรดอกหรือ” เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นในศตวรรษต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์เห็นว่า “นี่คือฤทธิ์อำนาจแห่งการทรงไถ่ด้วยความรัก”

คิงมองไปยังคำสอนของพระเยซูในการทรงเรียกสาวกให้รักศัตรู เขาสังเกตว่าแม้ผู้เชื่ออาจต้องพบความยากลำบากที่จะรักคนที่ข่มเหงเขา แต่ความรักนี้เติบโตขึ้นจาก “การยึดมั่นในการยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง” คิงกล่าวต่อว่า “เมื่อเรามีความรักในรูปแบบนี้ เราก็จะรู้จักพระเจ้าและสัมผัสถึงความงดงามในความบริสุทธิ์ของพระองค์”

คิงยกคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูที่ตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์”(มธ.5:44-45)​พระเยซูสอนในสิ่งซึ่งตรงกันข้ามกับคำสั่งสอนของยุคสมัยนั้นที่ให้รักเพื่อน​บ้าน​และ​เกลียดชัง​ศัตรู แต่พระเจ้า พระบิดาประทานกำลังให้ลูกๆของพระองค์ที่จะรักผู้ที่ข่มเหงพวกเขา

เราอาจรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักศัตรูของเรา แต่เมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา และจะประทานความกล้าหาญในการทำเรื่องที่สุดโต่งเช่นนี้ ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้ว่า “พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” (19:26)

พระวจนะที่นำสู่การเปลี่ยนแปลง

เมื่อคริสตินต้องการจะซื้อหนังสือพิเศษสักเล่มให้กับเสี่ยวหูผู้เป็นสามีชาวจีน หนังสือภาษาจีนเล่มเดียวที่เธอหาได้คือพระคัมภีร์ แม้ทั้งคู่ไม่ได้เชื่อในพระคริสต์ แต่เธอก็หวังว่าเขาจะชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้ ในตอนแรกเขาโกรธเมื่อเห็นคัมภีร์ แต่ในที่สุดเขาก็หยิบขึ้นมา เมื่อได้อ่านเขารู้สึกเชื่อความจริงในพระคัมภีร์นั้น คริสตินไม่พอใจกับพัฒนาการที่คาดไม่ถึงนี้ เธอจึงเริ่มอ่านพระคัมภีร์เพื่อหักล้างเสี่ยวหู แล้วที่น่าประหลาดใจคือ เธอได้กลับใจมาเชื่อในพระเยซูด้วยผ่านสิ่งที่เธออ่าน

อัครทูตเปาโลรู้ถึงธรรมชาติของพระคัมภีร์ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ท่านเขียนจดหมายจากคุกในกรุงโรม หนุนใจทิโมธีผู้ที่ท่านให้คำปรึกษาอยู่ว่า “จงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว” เพราะ “ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ (2ทธ.3:14-15) คำว่า “ดำเนินต่อไป” ในภาษาเดิมคือภาษากรีกนั้น มีความหมายไปถึงการ “ใช้เวลาอยู่กับ” สิ่งที่พระคัมภีร์เปิดเผย การที่ท่านรู้ว่าทิโมธีอาจเผชิญกับการต่อต้านและการข่มเหง เปาโลจึงต้องการให้เขาพร้อมรับความท้าทายนั้น ท่านเชื่อว่าลูกศิษย์จะพบกำลังและปัญญาในพระคัมภีร์เมื่อเขาใช้เวลาใคร่ครวญความจริงของพระวจนะนั้น

พระเจ้าโดยพระวิญญาณของพระองค์ทำให้พระคัมภีร์มีชีวิตสำหรับเรา เมื่อเราใช้เวลาอยู่กับพระคัมภีร์ พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงกระทำกับเสี่ยวหูและคริสติน

คนงานของพระเจ้า

ในค่ายผู้อพยพแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง เมื่อเรซ่าได้รับพระคัมภีร์เขาก็ได้มารู้จักและเชื่อในพระเยซู คำอธิษฐานแรกของเขาในพระนามพระเยซูคริสต์คือ “โปรดใช้ข้าพระองค์ให้เป็นคนงานของพระองค์เถิด” ต่อมาภายหลังที่เขาออกจากค่ายไปแล้ว พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานนั้น เขาได้งานอย่างไม่คาดฝันที่องค์กรบรรเทาทุกข์ ซึ่งเขาได้กลับมาที่ค่ายนั้นเพื่อรับใช้ผู้คนที่เขารู้จักและรัก เขาตั้งกลุ่มชมรมกีฬา ชั้นเรียนภาษา และให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย “อะไรก็ได้ที่ให้ความหวังแก่ผู้คน” เขาเห็นโครงการต่างๆเหล่านี้เป็นหนทางที่จะรับใช้ผู้อื่นและแบ่งปันความรักและพระปัญญาของพระเจ้า

เมื่อเรซ่าอ่านพระคัมภีร์ เขารู้สึกมีความเชื่อมโยงกับเรื่องของโยเซฟในปฐมกาลทันที เขาสังเกตถึงการที่พระเจ้าทรงใช้โยเซฟให้ทำงานของพระองค์ต่อไปขณะที่ท่านอยู่ในคุก เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ พระองค์สำแดงความเมตตาและประทานความโปรดปรานให้ท่าน พัศดีได้ให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลจนท่านเองไม่ต้องทำงานใดๆเลยเพราะพระเจ้าทรงประทาน “ความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ” (ปฐก.39:23 TNCV)

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเช่นกัน ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับการถูกคุมขัง (ทั้งถูกขังจริงหรือเป็นการเปรียบเทียบ) ความยากลำบาก การพลัดถิ่นฐาน ความปวดร้าวใจ หรือความโศกเศร้า เราไว้วางใจได้ว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา เช่นเดียวกับที่ทรงช่วยให้เรซ่าได้รับใช้ผู้ที่อยู่ในค่ายนั้นและช่วยโยเซฟจัดการกับงานในคุก พระองค์ก็จะทรงอยู่ใกล้เราเสมอไป

สิ่งเดียวที่ต้องการ

วันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่งในเดือนมีนาคม ฉันนำกลุ่มรีทรีตในหัวข้อมารีย์และมารธา สองพี่น้องในเมืองเบธานีผู้ซึ่งพระเยซูทรงรัก กับลาซารัสน้องชายของพวกเธอ (ยน.11:5) เราอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลในแถบชายฝั่งของประเทศอังกฤษ เมื่อมีหิมะตกลงมาปกคลุมอย่างไม่คาดคิด ผู้เข้าร่วมกลุ่มหลายคนพูดว่าการได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นอีกวันคือการที่พวกเขาจะได้ฝึกนั่งที่พระบาทพระคริสต์อย่างที่มารีย์ทำ พวกเขาอยากจะได้ “สิ่งซึ่งต้องการ...สิ่งเดียว” (ลก.10:42) ที่พระเยซูบอกมารธาด้วยความรักให้รับเอาไว้ นั่นคือการเลือกที่จะเข้าใกล้และเรียนรู้จากพระองค์

เมื่อพระเยซูไปเยี่ยมบ้านของมารธา มารีย์ และลาซารัสนั้น มารธาไม่รู้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะมา เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกโกรธที่มารีย์ไม่ช่วยเธอเตรียมการปรนนิบัติพระองค์และเพื่อนๆของพระองค์ แต่เธอลืมสิ่งสำคัญจริงๆไป คือการรับจากพระเยซูในขณะที่เธอเรียนรู้จากพระองค์ พระคริสต์ไม่ได้ดุเธอที่อยากจะปรนนิบัติพระองค์แต่ทรงเตือนว่าเธอกำลังลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

เมื่อมีบางอย่างมาขัดจังหวะทำให้เราฉุนเฉียวหรือรู้สึกวุ่นวายสับสนเพราะต้องทำหลายอย่างให้เสร็จ ให้เราหยุดและเตือนตัวเองถึงสิ่งที่สำคัญจริงๆในชีวิต เมื่อเราใช้ชีวิตให้ช้าลงและจินตนาการว่าเรานั่งอยู่ที่พระบาทของพระเยซู เราก็สามารถทูลขอให้พระองค์เติมเต็มเราด้วยความรักและชีวิตจากพระองค์ เราสามารถเพลิดเพลินไปกับการเป็นสาวกที่พระองค์ทรงรักได้

พระเจ้าแห่งความประหลาดใจ

ห้องประชุมมืดลงและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายพันคนก้มศีรษะขณะที่นักเทศน์นำเราอธิษฐานถวายตัว ขณะเขาเรียกคนเหล่านั้นที่รู้สึกถึงการทรงเรียกให้ไปรับใช้ในการประกาศยังต่างแดน ฉันรู้สึกได้ว่าลินเนตต์เพื่อนของฉันลุกจากที่นั่งและรู้ว่าเธอให้คำมั่นว่าจะใช้ชีวิตและรับใช้ในฟิลิปปินส์ แต่ฉันไม่รู้สึกถึงการเร้าใจให้ลุกขึ้น ฉันเห็นความต้องการในสหรัฐอเมริกา จึงอยากแบ่งปันความรักของพระเจ้าที่ดินแดนบ้านเกิดของฉัน แต่ในอีกสิบปีหลังจากนั้น ฉันอยากจะไปสร้างครอบครัวที่อังกฤษ โดยหาทางรับใช้พระเจ้าในหมู่เพื่อนบ้านที่พระองค์จะประทานให้ ความคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของฉันเปลี่ยนไปเมื่อฉันตระหนักว่า พระเจ้าทรงเชื้อเชิญฉันไปในการผจญภัยที่แตกต่างไปจากที่ฉันคาดไว้

พระเยซูมักจะทำให้ผู้คนที่พบพระองค์ประหลาดใจ รวมทั้งชาวประมงที่ทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ เมื่อพระคริสต์ประทานภารกิจใหม่แก่พวกเขาในการจับคน เปโตรและอันดรูว์ละแห “ทันที” และตามพระองค์ไป (มธ.4:20) ส่วนยากอบและยอห์น ก็ละเรือ “ในทันใดนั้น” (ข้อ 22) พวกเขาออกเดินทางผจญภัยครั้งใหม่ไปกับพระเยซู ไว้วางใจในพระองค์แม้ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปที่ใด

แน่นอนว่า พระเจ้าทรงเรียกผู้คนจำนวนมากให้รับใช้พระองค์ ณ ที่ซึ่งพวกเขาอยู่! แต่ไม่ว่าจะอยู่กับที่หรือออกเดินทางไป เราทุกคนล้วนมองไปที่พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าจะทรงทำให้เราประหลาดใจ ด้วยประสบการณ์และโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ในแบบที่เราอาจไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นไปได้

ปลดปล่อยจากการเป็นทาส

“ท่านเป็นเหมือนโมเสส ผู้นำเราออกจากการเป็นทาส” จามิล่าร้องออกมาเสียงดัง เธอเป็นคนงานเตาเผาอิฐที่ต้องอยู่ทำงานเพื่อใช้หนี้ในประเทศปากีสถาน เธอและครอบครัวทุกข์ทรมานเนื่องจากเป็นหนี้เจ้าของเตาเผาในจำนวนที่มากเกินไป เงินที่ได้มาจากการทำงานส่วนใหญ่ก็แค่พอสำหรับจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่านั้น แต่เมื่อพวกเขาได้รับของขวัญจากหน่วยงานที่ไม่แสวงกำไรที่ช่วยปลดหนี้ให้พวกเขา พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการขอบคุณตัวแทนของหน่วยงานสำหรับอิสรภาพนี้ จามิล่าซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระเยซู ได้ชี้ไปที่ตัวอย่างที่พระเจ้าปลดปล่อยโมเสสและคนอิสราเอลจากการเป็นทาส

คนอิสราเอลถูกชาวอียิปต์กดขี่ข่มเหงเป็นเวลาหลายร้อยปี ถูกใช้แรงงานในสภาพที่โหดร้าย พวกเขาร้องหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ (อพย.2:23) แต่พวกเขากลับถูกใช้งานหนักกว่าเดิม เพราะฟาโรห์องค์ใหม่ไม่ได้สั่งให้พวกเขาทำอิฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องไปเก็บฟางสำหรับใช้ทำอิฐด้วย (5:6-8) เมื่อคนอิสราเอลไม่หยุดที่จะร้องขอเพื่อให้พ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง พระเจ้าจึงทรงย้ำถึงคำสัญญาที่จะทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา (6:7) พวกเขาจะไม่เป็นทาสอีกต่อไป เพราะพระองค์จะช่วยกู้พวกเขาด้วย “แขนที่เหยียดออก” (ข้อ 6 TNCV)

ภายใต้ข้อปฏิบัติจากพระเจ้า โมเสสก็ได้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ (ดูบทที่ 14) วันนี้ พระเจ้ายังทรงช่วยกู้เราด้วยแขนที่เหยียดออกของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ที่บนไม้กางเขน เราเป็นอิสระจากการตกเป็นทาสต่อบาปที่ครั้งหนึ่งเคยควบคุมเราไว้ ขณะนี้เราไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นอิสระแล้ว!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา